“…ทั้งนี้ เพื่อต้องการนำเงินงบประมาณไปใช้หาเสียงตามโยบายที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ประกาศไว้ และฝ่าฝืนมาตรา 62 ไม่รักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ฐานะทางการเงินการคลังของรัฐมีเสถียรภาพและมั่นคงอย่างยั่งยืนตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อรัฐอย่างร้ายแรง…”
.................................
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติรับเรื่องกรณีกล่าวหา กรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ คณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
กรณีการร่วมกันเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยปรับลดรายจ่ายงบประมาณสำหรับ ‘ใช้หนี้’’ ของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท
แล้วนำไปเพิ่มเป็นงบประมาณรายจ่ายตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 รายจ่ายงบกลาง (5) ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ (Digital Wallet) จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตั้งสอบสวนกรณีนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 88 โดยกำหนดกรอบระยะเวลาในการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน และหากสอบสวนแล้วเห็นว่า ‘มีมูล’ ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป นั้น (อ่านประกอบ : ป.ป.ช.รับสอบคดีจัดทำงบฯปี 68 แจกเงินหมื่น ขัดรธน.ม.144 กล่าวหา ‘แพทองธาร-สส.-สว.' ยกคณะ)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอสรุป ‘ไทม์ไลน์-พฤติการณ์’ กรณีการปรับลดงบประมาณรายจ่ายสำหรับ ‘ใช้หนี้’ ของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง แล้วนำไปเพิ่มเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ภายใต้โครงการ Digital Wallet ผ่าน 'คำร้อง' ของ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ และพวก ดังนี้
@อ้างพบการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ม.144
ข้าพเจ้าและบุคคลผู้มีชื่อระบุอยู่ท้ายหนังสือนี้ (นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ,นายสมชาย แสวงการ ,นายเจษฎ์ โทณะวณิก ,พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป และนายนิติธร ล้ำเหลือ) ได้พบการกระทำฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตร 144 ที่บัญญัติไว้ว่า
“ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลง หรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการมิได้ แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่าย ซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้
(2) ดอกเบี้ยเงินกู้
(3) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญัตติ หรือกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการ มีส่วน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้…”
โดยมีรายละเอียดการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว ดังนี้
-เมื่อวันที่ 12 ต.ค.2566 สำนักงบประมาณ กองนโยบายงบประมาณ ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอแนวทางการจัดทำงบประมาณ และปฏิทินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ.2568 เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณใช้เป็นแนวทางประกอบการวางแผนการดำเนินงาน
และกำหนดแผนการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของรัฐบาลตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2566 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐฯ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฯ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) และระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้อนุมัตินำเสนอ ครม.ต่อไป
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น มีคำสั่งเห็นชอบตามข้อเสนอเพื่อพิจารณาของสำนักงบประมาณ รายละเอียดปรากฏตามบันทึกข้อความด่วนที่สุด ที่ นร 0716/29 เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฎิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปึงบประมาณ พ.ศ.2568
-เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2566 สำนักงบประมาณได้มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อขอให้นำเสนอ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฎิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ตามที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว
ต่อมา ครม. ได้ประชุมปรึกษาเรื่องแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2566 แล้วลงมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเรื่องดังกล่าว แจ้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อทราบแล้ว
-เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2567 สำนักงบประมาณได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งให้ทราบเรื่องรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 เรื่อง แนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมีความสำคัญตอนหนึ่งว่า
“5.2 งบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้สำหรับรายจ่ายตามข้อผูกพันที่เกิดขึ้นตามกฎหมาย สัญญา และมติคณะรัฐมนตรี รายจ่ายชำระหนี้ เงินอุดหนุนที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนรายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรและสาธารณูปโภค ไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายการไปจัดสรรให้รายการอื่นๆ”
และเรื่องผลการพิจารณาคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป และสำนักงบประมาณ ขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและรับทราบผลการพิจารณาคำของบประมาณดังกล่าว
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น พิจารณาแล้ว มีคำสั่งเห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 และรับทราบผลการพิจารณาคำขอประมาณรายจ่ายประจำปีงปีงบประมาณ พ.ศ.2568 รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ตามข้อเสนอเพื่อพิจารณาของสำนักงบประมาณ
@ตั้งงบชดเชยดอกเบี้ย-หนี้เสีย 5 ‘ธนาคารรัฐ’ 3.5 หมื่นล.
-เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2567 สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 วาระที่ 1 และแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมีลัดส่วนของคณะรัฐมนตรี 18 คนและของพรรคการเมืองต่างๆ 54 คน รวม 72
ทั้งนี้ ตามมาตรา 29 แห่ง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 กำหนดให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายของรัฐวิสาหกิจในส่วนของ
1.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ตามแผนงานยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน จำนวน 330,380,600 บาท
2.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามแผนงานยุทธศาสตร์การเกษตรสร้างมูลค่า จำนวน 31,748,978,600 บาท
3.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ตามแผนงานยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน จำนวน 72,317,100 บาท
4.ธนาคารออมสิน ตามแผนงานยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน จำนวน 3,812,563,800 บาท
5.ธนาคารอาคารลงเคราะห์ (ธอส.) ตามแผนงานยุทธศาสตร์มาตรการแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่ม จำนวน 592,150,000 บาท
งบประมาณรายจ่ายที่ตั้งตามแผนงานของรัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่งดังกล่าว เป็นงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดเชยต้นทุนเงินจากการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ชดเชยภาระดอกเบี้ยจากการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ชดเชยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เกิดขึ้นจากการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยรับ
อันเป็นภาระทางการเงินที่เกิดขึ้น เนื่องจากการดำเนินกิจกรรม มาตรการและโครงการของรัฐ ตามที่รัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่งดังกล่าวนั้น ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการ และรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการให้ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561
การตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีส่วนนี้เพื่อใช้หนี้เงิน จึงเป็นไปตามมาตรา 20 (5) แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ว่าด้วยหลักเกณฑ์ภาระทางการเงินเพื่อชดเชยต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการ รวมทั้งความเสียหายจากการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 ซึ่งต้องตั้งงบรายจ่ายให้ในโอกาสแรกที่กระทำได้
และปรากฏว่า งบประมาณรายจ่ายสำหรับใช้หนี้เงินนี้ ได้ผ่านการพิจารณากำหนดตั้งเป็นงบประมาณรายจ่าย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ได้มีมติรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ในวาระที่ 1 แล้ว
ย่อมถือได้ว่าเป็นการตั้งงบประมาณรายจ่ายให้ในโอกาสแรกที่กระทำได้แล้วตามกฎหมาย อันต้องห้ามแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่าย ตามข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย หรือเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ หรือดอกเบี้ยเงินกู้ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 144 วรรคหนึ่ง
@โยกงบใช้หนี้ 5 รัฐวิสาหกิจ โปะโครงการ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’
แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2567 สำนักงบประมาณ กองนโยบายงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี และ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ได้ร่วมกันดำเนินการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568
โดยการสั่งการให้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์
เสนอขอปรับลดงบประมาณรายจ่ายสำหรับใช้หนี้ ในส่วนที่เป็นภาระเพื่อชดเชยต้นทุนเงินจากการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ชดเชยภาระดอกเบี้ยจากการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ชดเชยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เกิดขึ้นจากการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยรับลง
และให้นำงบประมาณรายจ่ายส่วนที่ปรับลดลงนั้น เสนอเพิ่มเป็นรายจ่ายงบกลาง เพื่อนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของรัฐบาล
และให้สำนักงบประมาณ พิจารณาและจัดทำข้อเสนอรายละเอียดการเสนอขอเพิ่ม และเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ที่ผ่านความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับ หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดแล้ว เสนอ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ 13 ส.ค.2567
และให้สำนักงบประมาณเสนอ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ แผนและขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ในวันอังคารที่ 16 ก.ค.2567
-เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2567 ครม.มีมติเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ แผนและขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยให้หน่วยรับงบประมาณส่งรายการขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณที่ผ่านความเห็นชอบจากนายกฯ หรือรองนายกฯที่กำกับ หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดแล้ว
-เมื่อวันที่ 6 ส.ค.2567 สำนักงบประมาณได้มีหนังถึงถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ผ่านทางรัฐนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจักรพงษ์ แสงมณี) เพื่อแจ้งให้ทราบว่า สำนักงบประมาณได้พิจารณาการเสนอขอเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568
โดยเสนอขอลดงบประมาณรายจ่ายตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.งบประมาณรายร่ายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 งบประมาณรายจ่ายสำหรับใช้หนี้ของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง ได้แก่
1.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ขอลดงบประมาณรายจ่ายตามแผนงานยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันลงทั้งหมด จำนวน 330,380,600 บาท
2.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ขอลดงประมาณรายจ่ายแผนงานยุทธศาสตร์การเกษตรสร้างมูลค่าลงบางส่วน จำนวน 31,322,379,300 บาท
3.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ขอลดงบประมาณรายจ่ายตามแผนงานยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันลงทั้งหมด จำนวน 72,317,100 บาท
4.ธนาคารออมสิน ขอลดงบประมาณรายจ่ายตามแผนงานยุทธศาสตร์เพื่อสนับสนุนด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันลงบางส่วน จำนวน 2,682,773,000 บาท
5.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขอลดงประมาณรายจ่ายตามแผนงานยุทธศาสตร์มาตรการแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่มลงทั้งหมด จำนวน 592,150,000 บาท
รวมจำนวนเงินงประมาณรายจ่ายสำหรับใช้หนี้ที่ขอลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐวิสาหกิจทั้ง 5 แห่งดังกล่าว เป็นเงินจำนวน 35,000,000,000 บาท (3.5 หมื่นล้านบาท)
โดยเสนอขอนำไปเพิ่มเป็นงบประมาณรายจ่ายตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 มาตรา 6 งบประมาณรายจ่ายงบกลาง (5) ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ (Digital Wallet) จำนวน 35,000,000,000 บาท
และสำนักงบประมาณ ขอให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีขณะนั้น พิจารณาให้ความเห็นชอบการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ข้างต้น
และพิจารณาอนุมัติให้สำนักงบประมาณนำเรื่องการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ดังกล่าว ภายหลังจาก ครม. เห็นชอบแล้ว เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีขณะนั้น มีคำสั่งอนุมัติตามข้อเสนอเพื่อพิจารณาของสำนักงบประมาณ ตามหนังสือบันทึกข้อความสำนักงบประมาณ กองนโยบายงประมาณ ที่ นร 0716/3/188 ลงวันที่ 6 ส.ค.2567 เรื่อง การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568
-เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2567 ครม.มีมติให้ความเห็นชอบการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 และมอบหมายให้สำนักงบประมาณนำ เรื่อง การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ตามที่ ครม.เห็นชอบแล้ว เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
-เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2567 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ได้ประชุมครั้งที่ 38 ระเบียบวาระที่ 3 เรื่องพิจารณา รายการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณ เสร็จแล้วที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับรายการเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่งดังกล่าว
ประกอบด้วย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ไปยังงบประมาณรายจ่ายงบกลาง แผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นโครงการค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวน 35,000,000,000 บาท (3.5 หมื่นล้านบาท)
-เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2567 สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ด้วยคะแนน เห็นด้วย 309 เสียง ไม่เห็นด้วย 155 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง
-เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2567 วุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 วาระ 3 ด้วยคะแนนเสียง 174 ต่อ 3 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง
@ครม.‘แพทองธาร’อนุมัติใช้งบกลางฯ‘แจกเงินหมื่น’
-เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ต่อรัฐสภา โดยกล่าวว่า มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 16 ส.ค.2567 และแต่งตั้ง ครม.ใหม่ เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2567 ครม.เข้ากำหนดนโยบายเรียบร้อยแล้วตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ตลอดจนดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2561-2580 เสนอต่อรัฐสภา
-เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามที่ได้แถลงนโยบายของ ครม. ต่อรัฐสภา
โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ มีหน้าที่และอำนาจกำหนดนโยบาย วัตถุประสงค์โครงการ แนวทางการดำเนินโครงการ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ และแหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเสนอต่อ ครม.
และในวันเดียวกัน ครม. ได้มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ซึ่งประกอบด้วย (1) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ (2) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านคนพิการ โดยมอบหมายกระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นการสนับสนุนเงินจำนวนไม่เกิน 10,000 บาท ต่อคนให้แก่กลุ่มเป้าหมาย
ต่อมา คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในคราวการประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2567ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุและมอบหมายกระทรวงการคลังพิจารณากำหนดรายละเอียดของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุและนำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ กรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน 40,000 ล้านบาท
และเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2567 ครม.มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ โดยมอบหมายกระทรวงการคลังดำเนินโครงการให้เป็นไปเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพ และอนุมัติงประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 งบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 40,000 ล้านบาท
@ชี้พฤติการณ์‘นายกฯ-สส.-สว.’โยกงบขัด‘รัฐธรรมนูญ’
พฤติการณ์การกระทำของ เจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ต่อเนื่องมายัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีปัจจุบัน รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกระทรวงที่กำกับดูแลรัฐวิลาหกิจทั้ง 5 แห่งดังกล่าว
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2567 จำนวน 309 คน
ผู้จัดทำงบประมาณรายจ่าย คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 และสมาชิกวุฒิสภา ผู้ลงมติให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 วาระ 3 จำนวน 174 คน ผู้อนุมัติงบประมาณรายจ่าย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้จัดสรรและอนุมัติเงินงบประมาณรายจ่าย ในการร่วมกันเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568
โดยการลดและตัดทอนรายจ่ายตามข้อผูกพันเงินเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ และดอกเบี้ยเงินกู้ ของรัฐวิสาหยิง 5 หน่วยงานดังกล่าว ไปยังงบประมาณรายจ่ายงบกลางแผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวน 35,000,000,000 บาท ซึ่งต้องห้ามมิให้กระทำการดังกล่าวตามรัฐธธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหนึ่ง
โดยกลุ่มบุคคลดังกล่าว ทั้งที่ได้รู้อยู่แล้วว่า มีการดำเนินการ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติรัฐธธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 144 วรรคหนึ่ง แต่กลับมีเจตนาร่วมกันจัดทำโครงการ จัดสรรงบประมาณ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 และขอรับจัดสรรงบประมาณ ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 144 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
ทั้งนี้ เพื่อต้องการนำเงินงบประมาณไปใช้หาเสียงตามโยบายที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ประกาศไว้ และฝ่าฝืนมาตรา 62 ไม่รักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ฐานะทางการเงินการคลังของรัฐมีเสถียรภาพและมั่นคงอย่างยั่งยืนตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อรัฐอย่างร้ายแรง
นอกจากพฤติการณ์ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหนึ่งดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว ข้าพเจ้ากับบุคคลผู้มีชื่อระบุอยู่ท้ายหนังสือนี้ ยังพบอีกว่า ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 พิจารณารายการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณ
ในส่วนรายการเพิ่มงบประมาณ ของหมวด 2 งบประมาณรายจ่ายงบกลาง มาตรา 6 (12) เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นนั้น กลุ่มบุคคลดังกล่าว ยังได้ร่วมกันพิจารณาตามรายการเสนอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายงบกลางส่วนดังกล่าว จากเดิม 95,000,000,000 บาท เพิ่มเติมอีก 1,256,710,300 บาท รวมเป็น 96,556,710,300 บาท
และได้มีมติเห็นชอบกับรายการเสนอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ดังกล่าว ซึ่งเป็นการเพิ่มงบประมาณให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
โดยที่ผู้พิจารณาและมีมติเห็นชอบดังกล่าวนั้น มีบางส่วนเป็นผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาและมีสิทธิได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพจากกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา และบางส่วนเป็น สส.และ สว.ปัจจุบัน ที่จะมีส่วนได้รับผลประโยชน์เงินกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐภาและค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นต่อไปจนตลอดชีวิต
จึงเป็นการพิจารณาตามรายการเสนอเพิ่มงบประมาณและมีมติเห็นชอบที่มีผลให้ผู้พิจารณา มีส่วนทั้งทางตรงและทางอ้อมในการใช้งประมาณรายจ่ายดังกล่าว ซึ่งต้องห้ามมิให้กระทำการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง
โดยกลุ่มบุคคลดังกล่าว ทั้งที่ได้รู้อยู่แล้วว่ามีการดำเนินการ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช มาตรา 144 วรรคสอง แต่กลับมีเจตนาร่วมกันพิจารณา และมีมติเห็นชอบกับรายการเสนอเพิ่มประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ของงบกลางดังกล่าว
และอนุมัติงบประมาณรายจ่าย ตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ฝ่าฝืนต่อบทรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 144 วรรคสอง
@ขอ‘ป.ป.ช.’สอบสวน-หาก‘มีมูล’ให้ส่ง‘ศาลรัฐธรรมนูญ’
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 144 วรรคหก บัญญัติว่า
“ในกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้รับแจ้งตามวรรคลสี่ ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการสอบสวนเป็นทางลับโดยพลัน หากเห็นว่ากรณีมีมูลให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการต่อไปตามวรรคสาม
และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและศาลรัฐธรรมนูญหรือบุคคลใดจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้แจ้งมิได้”
ประกอบกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ส่วนที่ 3 ว่าด้วยการดำเนินการกรณีฝ่าฝืนมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 บัญญัติว่า
“เมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือเมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของรัฐตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสี่ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการสอบสวนเป็นทางลับโดยพลัน และไม่ว่าในกรณีใดผู้ใดผู้ใดจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวมิได้
เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งจัดทำโครงการหรืออนุมัติหรือจัดสรรเงินงบประมาณ โดยรู้ว่ามีการดำเนินการ อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง จะพ้นจากความรับผิดตามรัฐธรรมนูญ เฉพาะเมื่อได้แจ้งต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก่อนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะได้ดำเนินการสอบสวน
การสอบสวนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กำหนด
เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. สอบสวนแล้วเห็นว่ามีมูล ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว และให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการต่อไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 44 วรรคสาม
ในกรณีจำเป็นและได้รับคำร้องขอ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จัดให้มีการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคหนึ่งเช่นเดียวกับการคุ้มครองพยานตาม มาตรา 131”
และมาตรา 89 บัญญัติว่า “การเรียกเงินคืนกรณีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสาม หรือวรรคสี่ ให้กระทำได้ภายในยี่สิบ (20) ปี นับแต่วันที่มีการจัดสรรงบประมาณนั้น ทั้งนี้ มิให้นำมาตรา 55 (1) มาใช้บังคับกับการดำเนินการตามมาตรานี้”
ด้วยข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานต่างๆ ข้างต้น ข้าพเจ้านายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ และบุคคลผู้มีชื่อระบุคยู่ท้ายหนังสือนี้ เห็นว่า
1) ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ในส่วนของการเสนอขอเปลี่ยนแปลงงประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 โดยเสนอขอลดงบประมาณรายจ่ายตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 มาตรา 29 งบประมาณรายจ่ายสำหรับใช้หนี้ของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่งข้างต้น
และเสนอขอนำไปเพิ่มเป็นงบประมาณรายจ่ายตาม มาตรา 6 งบประมาณรายจ่ายงบกลาง (5) ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ (Digital Wallet) มีการกระทำฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
2) ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบบประมาณ พ.ศ.2568 ในส่วนของการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 งบกลาง ให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา มีการกระทำฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง
ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้จัดทำโครงการหรืออนุมัติหรือจัดสรรเงินงบประมาณ โดยรู้ว่ามีการดำเนินการ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 144 วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ต้องรับผิดคืนเงินที่มีการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 35,000,000,000 บาท และจำนวน 1,256,710,300 บาท แก่รัฐ
และหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล ถ้าผู้กระทำการดังกล่าวเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้กระทำการนั้นสิ้นสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น
แต่ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้กระทำการ หรืออนุมัติให้กระทำการ หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่มิได้สั่งยับยั้งให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้อยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีมติ และให้ผู้กระทำการดังกล่าวต้องรับผิดชดใช้เงินนั้นคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย
อีกทั้งรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 กำหนดหน้าที่ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดำเนินการสอบสวนเป็นทางลับโดยพลัน เมื่อความปรากฎต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการฝ่าฝืนมาตรา 144
และหากสอบสวนแล้วเห็นว่ามีมูล ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยดำเนินการตามมาตรา 144 วรรคสาม และเรียกเงินงบประมาณดังกล่าวคืนแก่รัฐต่อไปตามกฎหมาย
“ข้าพเจ้ากับพวกในฐานะประชาชนคนไทย มีหน้าที่ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติ สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และไม่ร่วมมือหรือสนับสนุนการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ จึงขอเรียนแจ้งมายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อทราบถึงการกระทำความผิดดังกล่าว
และขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดำเนินการสอบสวนกรณีฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 144 วรรคหนึ่งและวรรคสอง เป็นทางลับโดยพลัน
หากเห็นว่ามีมูล ก็ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการต่อไปตามวรรคสาม พร้อมเรียกเงินงบประมาณ 35,000,000,000 บาท และ 1,256,710,300 บาทจากผู้กระทำความผิดเพื่อส่งคืนแก่รัฐตามอำนาจหน้าที่ต่อไปด้วย”
จากนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ผลการตรวจสอบฯกรณีการโยกงบ ‘ใช้หนี้’ ของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อนำใช้จ่ายในโครงการ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ตามที่รัฐบาลที่มี ‘พรรคเพื่อไทย’ เป็นแกนนำ ได้หาเสียงไว้จะเป็นอย่างไร และในท้ายที่สุดแล้ว ‘คณะกรรมการ ป.ป.ช.’ จะมีมติออกมาอย่างไร ?
อ่านประกอบ :
‘พิชัย’ ลั่น จัดทำงบปี 68 ‘แจกเงินหมื่น’ ไม่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144
ป.ป.ช.รับสอบคดีจัดทำงบฯปี 68 แจกเงินหมื่น ขัดรธน.ม.144 กล่าวหา ‘แพทองธาร-สส.-สว.' ยกคณะ