
“…การที่โจทก์ (บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาติ) นำข้อตกลงในสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลย ซึ่งเป็นสัญญาสำเร็จรูป อ้างว่าธุรกรรมการเงินที่เกิดขึ้นดังกล่าว ถือเป็นการกระทำของจำเลย และจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้บัตรเครดิตดังกล่าวให้แก่โจทก์ ย่อมเป็นการกระทำไม่สุจริต โดยไม่คำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม อันเป็นการใช้สิทธิขัดต่อมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551…”
..................................
จากกรณีที่ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ พิพากษา ‘ยกฟ้อง’ ในคดีที่ ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ยื่นฟ้อง 'ผู้บริโภครายหนึ่ง' ให้รับผิดชอบต่อหนี้บัตรเครดิตกว่า 370,000 บาท ซึ่งถูกคนร้ายหลอกให้กดดาวน์โหลดติดตั้ง ‘แอปพลิเคชัน’ บนโทรศัพท์มือถือ แล้วทำให้หน้าจอค้าง จากนั้นคนร้ายได้โอนเงินจากบัตรเครดิตของผู้บริโภครายนี้ไปยังบัญชีอื่น
เนื่องจากศาลฯ เห็นว่า ธนาคารฯในฐานะผู้ให้บริการระบบชำระเงินตาม พ.ร.บ.ระบบการชำระเงิน พ.ศ.2560 มีหน้าที่ต้องจัดให้มีระบบและมาตรการความปลอดภัยที่เหมาะสม เพื่อป้องกันธุรกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่บุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงแอปฯ และทำธุรกรรมถอนเงินได้โดยไม่ได้รับอนุญาต แสดงถึงความบกพร่องของระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคาร
นอกจากนี้ ผู้บริโภคในคดีนี้ ไม่เคยมีพฤติกรรมเบิกถอนเงินสดมาก่อนเลย การที่เกิดธุรกรรมถอนเงินจำนวนมากในเวลาอันสั้น จึงถือเป็นความผิดปกติที่ธนาคารควรตรวจสอบและยับยั้ง ไม่ใช่ปล่อยให้ดำเนินการโดยอัตโนมัติ และผลักภาระความเสียหายมาให้ผู้บริโภคในภายหลัง นั้น (อ่านประกอบ : ระบบ‘บกพร่อง’-ไม่ยับยั้ง! ศาลฯยกฟ้องคดี‘แบงก์’เรียก‘เหยื่อ’แอปฯดูดเงิน จ่ายหนี้ 3.7 แสน)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอรายละเอียดคำพิพากษาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ในคดีนี้ (คดีหมายเลขดำที่ ผบE 978/2567 คดีหมายเลขแดงที่ ผบE 718/2568) ระหว่าง บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาติ (โจทก์) กับผู้บริโภค ราย น.ส.P (จำเลย) ดังนี้
@TTB ฟ้อง‘ผู้บริโภค’เรียกชำระหนี้บัตรเครดิต 3.7 แสนบาท
ชั้นพิจารณา ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลย (ผู้บริโภค) ต้องรับผิดต่อโจทก์ (บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาติ) หรือไม่ เพียงใด
พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลย (ผู้บริโภค) ยื่นคำขอสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตกับโจทก์ (บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาติ หรือ TTB) โจทก์อนุมัติให้จำเลยใช้บัตรเครดิตหมายเลข XXX
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด
โจทก์ (บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาติ) มีนาย ว. ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์เบิกความว่า จำเลยยื่นคำขอเพื่อสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตกับโจทก์ ต่อมาโจทก์พิจารณาอนุมัติให้จำเลยใช้บัตรเครดิตหมายเลข XXX ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตมีข้อตกลง และเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตว่า
จำเลยตกลงใช้บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ เพื่อใช้แทนเงินสดชำระค่าสินค้า ค่าบริการและ/หรือหนี้อื่นใดให้แก่ผู้ขายหรือผู้ให้บริการได้ ทั้งในและนอกประเทศที่มีข้อตกลงเป็นร้านค้าหรือสถานบริการสมาชิกรับบัตรเครดิตของโจทก์และ/หรือเพื่อการเบิกถอนเงินสุดจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) ของโจทก์หรือธนาคารอื่นที่เป็นสมาชิกร่วมกับโจทก์และ/หรือบริการโอนเงินอื่นๆ
และเมื่อร้านค้าหรือสถานบริการที่รับบัตรเครดิต ส่งยอดรายการซื้อสินค้าหรือยอดเบิกเงินสด มาเรียกเก็บเงิน โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินให้กับร้านค้าหรือสถานบริการแทนจำเลยไปก่อน และจะเรียกเก็บเงินจากจำเลยในภายหลัง
จำเลยตกลงชำระดอกเบี้ยค่าปรับในการชำระหนี้ล่าช้ากว่ากำหนด ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสด และค่าใช้จ่ายใดๆที่เกิดขึ้น ตามอัตราที่โจทก์ประกาศกำหนด
โจทก์จะส่งใบแจ้งยอดหนี้รายการซื้อสินค้าและบริการ ตลอดจนการเบิกถอนเงินสดให้จำเลยทราบทุกรอบเดือน เพื่อให้จำเลยนำเงินมาชำระให้กับโจทก์ตามจำนวนเงินที่โจทก์เรียกเก็บ
หากโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ หรือจำเลยชำระไม่ครบตามจำนวนที่ค้างชำระ จำเลยยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุด ซึ่งปรับขึ้นลงตามประกาศของโจทก์และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่โจทก์พึงเรียกเก็บได้ นับแต่วันที่ค้างชำระจนถึงวันชำระหนี้เสร็จสิ้นตามสำเนาใบสมัครบัตรเครดิต และสัญญาการใช้บัตรเครดิตเอกสารหมาย จ.9
หลังจากจำเลยได้รับบัตรเครเครดิตจากโจทก์แล้ว จำเลยนำบัตรเครดิตไปซื้อสินค้าและบริการแทนเงินสดกับร้านค้าและสถานบริการต่างๆ ตลอดจนเบิกถอนเงินสดจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) จากโจทก์และธนาคารอื่นที่เป็นสมาชิกร่วมกับโจทก์หลายครั้ง
ร้านค้าและสถานบริการได้ส่งหลักฐานหรือรายการแสดงการใช้บัตรเครดิตของจำเลยมาเรียกเก็บเงินจากโจทก์ โจทก์ทดรองจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าหรือสถานบริการที่เป็นสมาชิกตามจำนวนที่ปรากฏในหลัดฐานดังกล่าวทุกครั้ง และทุกรอบบัญชี
จำเลยตกลงและยอมรับว่า หากเป็นกรณีโอนเงินกู้เข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย ให้ถือว่าจำเลยได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์ครบถ้วนถูกต้อง โจทก์ส่งหนังสือแจ้งการโอนเงินกู้ ซึ่งระบุเงื่อนไขการผ่อนชำระและอัตราดอกเบี้ยให้จำเลยแล้ว นอกจากนั้น โจทก์จัดส่งรายการใบแจ้งหนี้ให้จำเลยทราบทุกเดือน ซึ่งจำเลยได้รับแล้วไม่ได้โต้แย้งคัดค้านประการใด
จำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายแก่โจทก์ เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2566 จำนวน 2,381.52 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์อีก ถือว่าจำเลยตกเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญา โจทก์คิดดอกเบี้ยในยอดหนี้ อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยค้างชำระตามอัตราที่โจทก์กำหนดในใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายของแต่ละงวด
ปรากฏคิดเพียงวันที่ 12 ม.ค.2567 อันเป็นวันสรุปยอดบัญชีสุดท้าย จำเลยมียอดหนี้ค้างชำระเป็นเงินต้น 297,000 บาท ดอกเบี้ยค้างชำระ 31,371.88 บาท ค่าธรรมเนียม (ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสด ค่าธรรมเนียมในการทวงถาม) 9,777.39 บาท รวมเป็นเป็นเงิน 338,149.27 บาท ตามสำเนาใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายบัตรเครดิต จ.10
จำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดชำระหนี้คืนแก่โจทก์เป็นเงินต้น 297,000 บาท ดอกเบี้ยค้างชำระ 31,371.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ของเงินต้น 297,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันสรุปยอดบัญชีสุดท้าย คือ วันที่ 13 ม.ค.2567 จนถึงวันฟ้องวันที่ 25 ก.ย.2567 เป็นเงิน 33,459.29 บาท
ค่าธรรมเนียม (ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสด ค่าธรรมเนียมในการทวงถาม) 9,777.39 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 371,608.56 บาท ตามสำเนารายการคำนวณยอดหนี้เอกสารหมาย จ.11
โจทก์ติดตามทวงถามให้จำเลยชำระหนี้หลายครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ให้กับโจทก์ ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวโดยชอบแล้วแต่เพิกเฉยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามสำเนาหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้ พร้อมไปรษณีย์ตอบรับเอกสารหมาย จ.12
@‘เหยื่อ’แอปฯดูดเงิน ปฏิเสธจ่ายหนี้ฯ-ระบบ‘แบงก์’ไม่ปลอดภัย
ส่วนจำเลย (ผู้บริโภค) เบิกความว่า เบิกความว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือเป็นผู้เบิกถอนเงินสดจากบัตรเครดิตที่โจทก์อนุมัติ จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของเงินในบัตรเครดิตที่โจทก์อนุมัติ จำเลยเป็นเพียงผู้ครอบครองบัตรเครดิตของโจทก์ และไม่ได้เป็นผู้เบิกถอนเงินสดจากบัตรเครดิตด้วยตนเอง หรือยินยอมให้บุคคลอื่นเบิกถอนเงินสดจากบัตรเครดิตที่โจทก์อนุมัติ
เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2566 มีบุคคลอื่นทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตของจำเลยที่เปิดบริการไว้กับโจทก์ (บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาติ) โดยมีการเบิกหรือถอนเงินสดจากบัตรเครดิตไป 1 ครั้ง รวมเป็นเงิน 297,000 บาท และโอนเข้าบัญชีธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ในชื่อของจำเลย (ผู้บริโภค) บัญชีเลขที่ XXX และโอนเงินจำนจำนวนดังกล่าว ต่อไปยังบัญชีของคนร้ายหมายเลขพร้อมเพย์ XXX ธนาคารยูโอบี เลขบัญชี XXX ชื่อบัญชี นาย ว.
การทำธุรกรรมในวันดังกล่าว จำเลยไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการเบิกถอนเงินสด และไม่ได้เข้าแอปพลิเคชันของโจทก์ด้วยตนเองหรือยินยอมให้บุคคลใดเข้าใช้หรือเบิกถอนเงินสด
แต่เกิดจากบุคคลภายนอก ซึ่งเป็นคนร้ายใช้หมายเลขโทรศัพท์ XXX โทรหาจำเลย โดยแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน หลอกลวงจำเลยให้จำเลยกดเพิ่มเพื่อนทางแอปพลิเคชันไลน์ ผู้ที่โทรมา กล่าวถึงข้อมูลที่ดินที่จำเลยเคยเสียภาษีได้ตรงตามข้อมูลจริง
เหตุที่จำเลยเชื่อ เพราะจำเลยได้ดูข้อมูลดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ของกรุงเทพมหานคร ตามเอกสารหมาย ล.1 และแบบแสดงคำนวณภาษีอาคารชุด/ห้องชุดที่คนร้ายกล่าวอ้างได้ถูกต้องเอกสารหมาย ล.2
เมื่อจำเลย เชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดินจริง จำเลยจึงได้กดเพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชันไลน์ คนร้ายให้จำเลยดาวน์โหลดแอปพลิเคชันกรมที่ดิน เพื่อชำระภาษีที่ดิน จำเลยดำเนินการดาวน์โหลดติดตั้งแอปพลิเคชันเว็บไซด์กรมที่ดิน เมื่อติดตั้งเสร็จสิ้น โทรศัพท์หน้าจอค้าง จึงพยายามกดวางโทรศัพท์ แต่ไม่สามารถวางได้
จึงพยายามปิดเครื่องตามบทสนทนาผ่านแอปพลิเคชันไลน์เอกสารหมาย ล.3 จำเลยเคยเข้าไปดูเว็บไซด์ของกรมที่ดิน รูปบัญชีผู้ใช้ของคนร้ายที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดิน มีตราสัญลักษณ์เหมือนกับกรมที่ดินตามเอกสารหมาย ล.4
เมื่อโทรศัพท์ของจำเลยค้างไม่สามารถดำเนินการใดๆ กับโทรศัพท์ได้ จำเลยจึงพยายามปิดเครื่องและเปิดโทรศัพท์ใหม่อีกครั้ง เมื่อเปิดเครื่อง จึงพบข้อความเข้ามายังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลย โดยมีการเบิกถอนเงินจากบัตรเครดิตบัญชีธนาคารของจำเลยและมีการโอนเงินออกไปยังบัญชีที่จำเลยไม่รู้จักและไม่เคยทำธุรกรรมด้วย จำเลยไม่ได้เป็นผู้ทำธุรกรรมดังกล่าวด้วยตนเอง ตามข้อความจากโทรศัพท์เคลื่อนที่เอกสารหมาย ล.5
จำเลยโทรอายัดบัญชีธนาคารของจำเลยทุกธนาคารและอายัดบัตรเครดิตของโจทก์ทันที แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือในทันที เมื่อจำเลยเปิดเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ จึงพบความเสียหายเงินในบัญชีบัตรเครดิตโจทก์มีการอนมัติเบิกถอนเงินสด 297,000 บาท
และมีความเสียหายเกิดขึ้นอีกหลายรายการ คือ บัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ บัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบัญชีธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 366,200 บาท ตามรายการเดินบัญชีธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เอกสารหมาย ล.6
นอกจากนี้ มีการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หมายเลขบัญชี XXX ซึ่งเป็นบัญชีของจำเลย จากนั้นมีการโอนต่อไปยังคนร้ายในทันที ซึ่งเป็นธนาคารยูโอบี หมายเลขพร้อมเพย์เลขที่ XXX บัญชีธนาคารเลขที่ XXX ชื่อบัญชีนาย ว.
จำเลยไม่รู้จัก ไม่มีนิติสัมพันธ์หรือภาระผูกพันหรือเกี่ยวข้องในการใดๆ กับนาย ว. ซึ่งเป็นบัญชีปลายทางที่รับโอน จำเลยไม่มีประวัติการใช้เพื่อทำธุรกรรมเบิกหรือถอนเงินจากบัตรเครดิตของโจทก์ถึง 297,000 บาท ไม่มีประวัติเบิกถอนเงินสดและไม่เคยมีประวัติการเบิกถอนเงินสดอนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันของโจทก์ จำเลยไม่เคยผูกบัญชีบัตรเครดิตของโจทก์และบัญชีธนาคารของจำเลยตั้งแต่เปิดใช้บัตร
จำเลยเดินทางไปสถานีตำรวจนครบาลศาลาแดงในวันเกิดเหตุ จำเลยแจ้งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้รับโอนเงิน และพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกพยานเอกสาร เพื่ออายัดบัญชีธนาคารยูโอบี หมายเลข XXX ชื่อบัญชีนาย ว. ตามใบรับหมายตำรวจเอกสารหมาย ล.7
เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2566 พนักงานสอบสวนบันทึกเลขคำขอแจ้งความออนไลน์ที่ W665XXXXXX เพื่อนัดหมายให้จำเลยเข้าไปสอบปากคำ และรับเป็นคดีออนไลน์ตามเอกสารหมาย ล.8 เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2566 พนักงานสอบสวนให้จำเลยให้ปากคำที่สถานีตำรวจนครบาลศาลาแดงตามรายงานประเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.9
จำเลยเดินทางไปแจ้งหนังสือถึงการอายัดบัญชีบัตรเครดิตกับโจทก์และขอปฏิเสธรายการเรียกเก็บเงิน เพื่อขอตรวจสอบด้วยตนเองที่ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) พร้อมส่งเอกสารให้โจทก์ทราบในวันที่ 18 พ.ค.2566 ตามหนังสือขอตรวจสอบ และปฏิเสธรายการเรียกเก็บเงินและรายละเอียดการโทรอายัดเอกสารหมาย ล.10
เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2567 จำเลยทำหนังสือถึงพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลศาลาแดง พนักงานสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลศาลาแดง ตอบเป็นหนังสือถึงผลการดำเนินคดีกับมิจฉาชีพตามหนังสือถึงพนักงานสอบสวน และหนังสือตอบกลับของผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลศาลาแดงเอกสกสารหมาย ล.11
โจทก์ (บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาติ) เป็นผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับตามกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงินตาม พ.ร.บ.ระบบการชำระเงิน พ.ศ.2560 มาตรา 12 โจทก์ควรมีมาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันการกระทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่ชอบตามระบบการชำระเงินเอกสารหมาย ล.12
การที่ระบบแอปพลิเคชันบัตรเครดิตของโจทก์ถูกบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่จำเลย เป็นผู้ใช้บัตรเครดิตของโจทก์ แสดงให้เห็นว่าระบบรักษาความปลอดภัยของโจทก์ไม่เพียงพอ
เมื่อจำเลยโทรศัพท์ติดต่อไปยังโจทก์แจ้งเรื่องที่ถูกดูดเงินดังกล่าวและขอความช่วยเหลือ แต่เจ้าหน้าที่อ้างว่าไม่มีนโยบายเยียวยา แจ้งให้จำเลยชำระเงินไปก่อน จากนั้นให้รอเจ้าหน้าที่โทรศัพท์ติดต่อเรื่องการช่วยเหลือค่าบัตรเครดิต โจทก์มิได้ดำเนินการให้เห็นว่า โจทก์มีกระบวนการตอบสนองและรับมือต่อภัยทุจริตที่เกิดขึ้นกับจำเลย
โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวนโยบายการบริหารจัดการภัยทุจริตทางการกระทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 29 มี.ค.2566 เอกสารหมาย ล.13 และ ล.14
จำเลยไม่เคยมีประวัติในการเบิกถอนเงินสดแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งในการเบิกถอนเงินสดเป็นจำนวนถึง297,000 บาท เป็นจำนวนเงินที่สูง จึงต้องมีการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าจำเลยเป็นผู้เบิกถอนเงินจริง โจทก์ไม่มีข้อความแจ้งเตือนจำเลยในการเบิกถอนเงินสดจำนวนดังกล่าว
โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคว่าด้วยการป้องกันและตรวจสอบ เพื่อให้ผู้บริโภคใช้สินค้าหรือบริการที่ปลอดภัยตามมาตรา 4 พ.ร.บ.กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522
โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การบริหารจัดการด้านการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม จำเลยไม่ได้ใส่รหัส หรือให้ข้อมูลปลดล็อคแอปพลิเคชันของโจทก์ บอกรหัส OTP ยืนยันตัวตนว่า เป็นจำเลยด้วยตนเอง หรือไม่ได้สแกนใบหน้าจำเลย
แต่เป็นการกระทำของมิจฉาชีพเข้าควบคุมระบบการทำงานเข้าถึงข้อมูลแอปพลิเคชันของโจทก์ โจทก์ไม่มีระบบบันทึกเหตุการณ์การทำธุรกรรม หรือระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพเพื่อคุ้มครองจำเลย
ใบสมัครข้อกำหนดและเงื่อนไขการถือบัตรเป็นข้อสัญญาไม่เป็นธรรม จำเลยเข้าทำสัญญากับโจทก์ซึ่งเป็นเป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการค้าสัญญาเป็นสัญญาสำเร็จรูป ข้อตกลงในสัญญาตาตามเงื่อนไขใบสมัคร ทำให้โจทก์ได้เปรียบเกินสมควรและเป็นข้อสัญญาไม่เป็นธรรม
และจำเลยมี ร้อยตำรวจโทหญิง น. เบิกความเป็นพยานว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2566 จำเลยเดินทางมาพบพยานที่สถานีตำรวจนครบาลศาลาแดงและแจ้งความว่า มีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน และหลอกให้จำเลยกดลิงค์ ทำให้เงินของจำเลยที่ผูกกับแอปพลิเคชันของธนาคารถูกโอนออกจากบัญชีเงินฝากของจำเลย
หลังจากพยานได้รับแจ้งความแล้ว ในวันเดียวกัน พยานได้ออกหมายอายัดบัญชีเงินฝากธนาคารปลายทางที่รับโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลย และให้จำเลยนำเอกสารไปยื่นที่ธนาคารตามเอกสารหมาย ล.7
เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2566 พยานเรียกจำเลยมาเพื่อสอบปากคำที่สถานตำรวจนครบาลศาลาแดงแล้วพบว่า จำเลยถูกโอนเงินผ่านระบบออนไลน์ 4 บัญชี ไปยังบัญชีเงินฝากของนาย ว. จำเลยได้รับความเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น 366,200 บาท
@ศาลฯชี้‘แบงก์’ไม่ระงับยับยั้ง-ตรวจสอบ ตามมาตรการ‘ธปท.’
เห็นว่า โจทก์ (บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาติ) ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ และให้บริการอื่นที่เกี่ยวกับการเงิน รับฝากเงิน และให้บริการการใช้หรือโอนเงินทางแอปพลิเคชันออนไลน์ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่และคอมพิวเตอร์
จึงเป็นผู้รับฝาก ซึ่งเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะ จำต้องใช้ความระมัดระวัง และใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 659 วรรคสาม
เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2566 เงินในบัญชีเงินฝากของจำเลย (ผู้บริโภค) ถูกโอนไปยังบัญชีเงินฝากบุคคลอื่น คือ บัญชีเงินฝากธนาคารยูโอบี ชื่อบัญชี นาย ว. หมายเลขพร้อมเพย์เลขที่ XXX บัญชีธนาคารเลขที่ XXX เป็นเงิน 297,000 บาท
พฤติกรรมการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลย ไปยังบัญชีเงินฝากของบุคคลอื่น โดยจำเลยไม่มีประวัติการทำธุรกรรมเบิกหรือถอนเงินจากบัตรเครดิตของโจทก์ถึง 297,000 บาท ไม่มีประวัติเบิกถอนเงินสดและไม่เคยมีประวัติการเบิกถอนเงินสดออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันของโจทก์
จำเลยไม่เคยผูกบัญชีบัตรเครดิตของโจทก์ และบัญชีธนาคารของจำเลยตั้งแต่เปิดใช้บัตร ย่อมต้องถือว่าเป็นพฤติกรรมในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ผิดปกติ
โจทก์ ซึ่งเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะ ย่อมต้องทราบถึงวิธีการดังกล่าว
และย่อมสังเกตได้ว่าพฤติกรรมการทำธุรกรรมทางการเงินดังกล่าวเป็นเรื่องผิดปกติ และอาจเป็นการกระทำของมิจฉาชีพผู้ประกอบอาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โจทก์จึงควรมีมาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันการกระทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่ชอบดังกล่าวด้วย
เมื่อจำเลย (ผู้บริโภค) แจ้งโจทก์ทราบในวันเกิดเหตุทันทีที่จำเลยทราบถึงการถูกมิจฉาชีพหลอกลวงจนสามารถเข้าควบคุมโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลย แล้วสั่งถอนเงินจากบัญชีบัตรเครดิตของจำเลยเข้าบัญชีธนาคาคารของจำเลย แล้วโอนเงินออกไปจากบัญชีธนาคารของจำเลยไปยังบัญชีของบุคคลอื่น ย่อมแสดงชัดว่า จำเลยมิได้เป็นผู้ใช้บัตรเครดิตดังกล่าวด้วยตนเอง
เมื่อโจทก์ได้รับแจ้งเหตุ ก็ไม่ได้ดำเนินการอื่นใด นอกจากแจ้งให้จำเลยไปดำเนินการแจ้งความติดตามเรื่องด้วยตนเอง โจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการทางการเงิน โจทก์สามารถดำเนินการระงับยับยั้งหรืออายัดเงินที่ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตแจ้งเหตุว่ามิจฉาชีพหลอกลวงไว้ชั่วคราว เพื่อทำการตรวจสอบได้โดยง่าย
ทั้งที่แนวนโยบายการบริหารจัดการภัยทุจริตจากการทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย เอกสารหมาย ล.14 ระบุในเอกสารแนบ 1 การบริหารจัดการภัยทุจริตจากการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านบัตร ได้กำหนดชัดเจน ในข้อ 3.1 ว่า
“เมื่อผู้ถือบัตรเกิดปัญหาจากการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านบัตร ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ถือบัตร ผู้ให้บริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านบัตร ต้องแจ้งการรับเรื่องให้กับผู้ถือบัตรทราบภายใน 1 ชั่วโมง นับจากได้รับแจ้งเหตุจากผู้ถือบัตรพร้อมทั้งแจ้งความคืบหน้าเบื้องต้นให้ผู้ถือบัตรทราบภายใน 1 วันทำการนับจากได้รับแจ้งจากผู้ถือบัตร”
และ ข้อ 3.2 กำหนดว่า
“กรณีมีเหตุการณ์ทุจริตที่มีผู้ถือบัตรได้รับความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านบัตร และมีเหตุอันเชื่อได้ว่า ไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ถือบัตรหรือผู้ถือบัตรไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้ให้บริการต้องเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ถือบัตรอย่างครบถ้วน”
นอกจากนี้ โจทก์ (บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาติ) กลับไม่ได้นำสืบถึงการป้องกันที่เหมาะสมในส่วนของโจทก์ว่ามีอยู่อย่างไร หากเกิดการทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่ชอบ
ดังที่เกิดขึ้นในคดีนี้ โดย นาย ว. (ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์) ตอบคำถามของทนายจำเลยถามค้านว่า ไม่ทราบเรื่องการแจ้งเตือนให้แก่ลูกค้าผู้ใช้บริการต่างๆ ระมัดระวังการหลอกลวงจากมิจฉาชีพ อันเป็นมาตรการในการป้องกันความเสียหายแก่การทำธุรกรรมทางการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อไม่ให้ลูกค้าที่ใช้บริการถูกมิจฉาชีพหลอกลวง ซึ่งเป็นข้อควรระวังในด้านของลูกค้า
ทั้งโจทก์ ก็ไม่ได้นำสืบให้รับฟังได้ว่า มาตรฐานในการป้องกันการโอนเงินที่เป็นการทำธุรกรรมทางการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ชอบดังกล่าว ควรจะมีอยู่อย่างไร และโจทก์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างไร
โจทก์ควรจะป้องกันหรือระงับยับยั้งการโอนเงินที่มีความผิดปกติดังกล่าว ซึ่งมาตรการในการป้องกันความเสียหายที่เหมาะสมหรือสมควรดังกล่าว อยู่ในความรู้เห็นของโจทก์ฝ่ายเดียว โจทก์ จึงมีภาระการพิสูจน์ในส่วนนี้
แต่กลับปรากฏจากคำเบิกความของ นาย ว. (ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์) ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ไม่ทราบว่าโจทก์มีระบบป้องกันมิจฉาชีพอย่างไร เมื่อธนาคารโจทก์มอบบัตรเครดิตให้จำเลยแล้ว เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิตด้วยตนเอง
พยานไม่ทราบรายละเอียดว่า ธนาคารโจทก์มีระบบรักษาความปลอดภัยผ่านรหัสผ่านหรือระบบ OTP ซึ่งจะมีการส่งรหัส OTP มาที่หมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยเพื่อยืนยันยันว่า จำเลยเป็นผู้ทำธุรกรรมเบิกถอนเงินสดด้วยตนเองจริงหรือจะมีเจ้าหน้าที่ธนาคารโจทก์โทรศัพท์ถึงจำเลยว่าเป็นผู้ทำธุรกรรมเบิกถอนเงินสดด้วยตนเอง เนื่องจากเป็นระบบปฏิบัติงานภายในของธนาคาร
โจทก์แสดงให้เห็นว่า โจทก์ไม่ได้มีมาตรการในการป้องกัน หากเกิดการโอนเงินหรือการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ชอบ โจทก์ ซึ่งเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะและในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมระบบ มีความสามารถในการตรวจสอบ หรือทราบถึงความผิดปกติในการทำรายการต่างๆได้แต่เพียงฝ่ายเดียว ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวัง และหามาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายดังเช่นที่เกิดในคดีนี้อีก
เมื่อจำเลย อ้างว่ามีผู้แอบอ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดินหลอกลวงจำเลย ให้จำเลยกดเพิ่มเพื่อนทางแอปพลิเคชันไลน์ ผู้ที่โทรมากล่าวถึงข้อมูลที่ดินที่จำเลยเคยเสียภาษีได้ตรงตามข้อมูลจริง เหตุที่จำเลยเชื่อเพราะจำเลยได้ดูข้อมูลดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ของกรุงเทพมหานครตามเอกสารหมาย ล.1 และแบบแสดงคำนวณภาษีอาคารชุด/ห้องชุดที่คนร้ายกล่าวอ้างได้ถูกต้องเอกสารหมาย ล.2
เมื่อจำเลยเชื่อว่า เป็นเจ้าหน้าที่ที่ดินโทรมาจากกรมที่ดินจริง จำเลยจึงได้กดเพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชันไลน์ คนร้ายให้จำเลยโหลดแอปพลิเคชันกรมที่ดินเพื่อชำระภาษีที่ดิน จำเลยดำเนินการโหลดติดตั้งแอปพลิเคชันเว็บไซด์กรมที่ดิน เมื่อติดตั้งเสร็จสิ้น โทรศัพท์หน้าจอค้าง จึงพยายามกดวางโทรศัพท์แต่ไม่สามารถวางได้
จึงพยายายามปิดเครื่องตามบทสนทนาผ่านแอปพลิเคชันไลน์ เอกสารหมาย ล.3 เมื่อโทรศัพท์ของจำเลยค้างไม่สามารถดำเนินการใดๆ กับโทรศัพท์ได้ จำเลยจึงพยายามปิดเครื่อง และเปิดโทรศัพท์ใหม่อีกครั้ง เมื่อเปิดเครื่องจึงพบข้อความเข้ามายังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลย โดยมีการเบิกถอนเงินจากบัตรเครดิตบัญชีธนาคารของจำเลย และมีการโอนเงินออกไปยังบัญชีที่จำเลยไม่รู้จักและไม่เคยทำธุรกรรมด้วย
เมื่อโจทก์ ไม่ได้นำสืบว่าเงินจำนวน 297,000 บาท เมื่อมีการเบิกถอนเงินแล้วเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย และมีการโอนต่อไปยังบัญชีเงินฝาก คือ บัญชีเงินฝากธนาคารยูโอบี ชื่อบัญชีนาย ว. หมายเลขพร้อมเพย์เลขที่ XXX บัญชีธนาคารเลขที่ XXX เป็นเงิน 297,000 บาทอย่างไร
จำเลยในฐานะผู้ฝากเงิน จึงไม่มีส่วนผิด เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่โจทก์รับฝากไว้ในอารักขาของตน จึงอยู่ในความครอบครองของของโจทก์ จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์
การที่โจทก์ (บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาติ) นำข้อตกลงในสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลย ซึ่งเป็นสัญญาสำเร็จรูป อ้างว่าธุรกรรมการเงินที่เกิดขึ้นดังกล่าว ถือเป็นการกระทำของจำเลย และจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้บัตรเครดิตดังกล่าวให้แก่โจทก์ ย่อมเป็นการกระทำไม่สุจริต
โดยไม่คำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม อันเป็นการใช้สิทธิขัดต่อมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551
พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
เหล่านี้เป็นคำพิพากษาของ ‘ศาลแพ่งกรุงเทพใต้’ ในคดีธนาคารฯ ยื่นฟ้องผู้บริโภค เรียกให้รับผิดชอบหนี้บัตรเครดิตฯเป็นเงินกว่า 3.7 แสนบาท หลังตกเป็นเหยื่อ ‘แอปฯดูดเงิน’ โดยคดีนี้ ศาลฯพิพากษาว่า ผู้บริโภคไม่ต้องรับผิดชอบต่อหนี้บัตรฯที่เกิดขึ้น เนื่องจากความเสียหายดังกล่าว มาจากการที่ธนาคารฯไม่ได้มีมาตรการป้องกันในกรณีที่มีการโอนเงินหรือการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ชอบ!
อ่านประกอบ :
ระบบ‘บกพร่อง’-ไม่ยับยั้ง! ศาลฯยกฟ้องคดี‘แบงก์’เรียก‘เหยื่อ’แอปฯดูดเงิน จ่ายหนี้ 3.7 แสน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา