
"...ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาว่าเป็น “ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย” โดยที่ผู้ถูกร้องมิได้ดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ตามกฎหมายของประเทศไทย จึงเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง ซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือก และทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม..."
จากกรณีสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอใจความสำคัญคำวินิจฉัยกกต. กรณีมีมติให้ดำเนินคดีกับนางสาวเกศกมล เปลี่ยนสมัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งและคดีอาญา กรณีใช้คำว่า “ศาสตราจารย์” โดยกกต.วินิจฉัยว่าการที่นางสาวเกศกมล ระบุประวัติและแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาว่าเป็น 'ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย' โดยที่มิได้ดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ตามกฎหมายของประเทศไทย จึงเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง ซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือก และทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมไปแล้ว

ล่าสุดสำนักข่าวอิศราสรุปและเรียบเรียงคำวินิจฉัยกกต. กรณีมีมติให้ดำเนินคดีกับนางสาวเกศกมล ในความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งและคดีอาญา กรณีใช้คำว่า “ศาสตราจารย์” มานำเสนอดังนี้
คำวินิจฉัยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ 309/2568
วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568
เรื่อง การเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศ
ตามที่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ให้ไว้ ณ วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2567 ให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา และประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เรื่อง กำหนดวันเลือกและวันรับสมัครรับเลือกสมาชิกวุฒิสภา กำหนดวันเลือกระดับอำเภอ วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2567 วันเลือกระดับจังหวัด วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2567 และวันเลือกระดับประเทศ วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567 นั้น
ก่อนประกาศผลการเลือก คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับคำร้องและรายงานกรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า นางสาวเกศกมล เปลี่ยนสมัย ผู้มีสิทธิเลือกระดับประเทศ กลุ่มที่ 19 หมายเลข 3 ผู้ถูกร้อง ได้มีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4) กล่าวคือ ผู้ถูกร้องหลอกลวงหรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง
@ ประเด็นที่ 1 และ 5 ร้องว่า 'เกศกมล' ระบุมีประสบการณ์เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง
คณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณารายงานการไต่สวนตลอดจนพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องประกอบกันแล้วได้ความว่า ประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 5 มีข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกัน ผู้ร้องที่ 1 ถึงผู้ร้องที่ 7 ยื่นคำร้องและให้ถ้อยคำว่า ผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา กลุ่มที่ 19 โดยระบุในข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว.3) ในส่วนของประวัติการศึกษาและประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า แพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสุขภาพจิตชุมชน กรมสุขภาพจิต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง และเป็นกรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏจากรายงานผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบุรี ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2567
ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกร้องแนะนำตัวในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มชื่อ “เส้นทางสว.67#ตะวันตก” ด้วยข้อความว่า “สวัสดีค่ะ หมอเกศค่ะ ศาสตราจารย์ ดร.พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย เป็นหมอด้านสุขภาพจิตชุมชนและผิวพรรณความงามค่ะ กลุ่ม 19 ผู้ประกอบวิชาชีพ จังหวัดเพชรบุรี ค่ะ” ซึ่งเข้าข่ายหรือมีลักษณะเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4)
@ 'เกศกมล' ระบุมีประสบการณ์เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงาม มิได้มีลักษณะเป็นการหลอกลวง
จากการตรวจสอบข้อมูลและไต่สวนบุคคลที่เกี่ยวข้อง เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 5 รับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือแพทย์ โดยสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม เลขที่ 34832 ออกให้เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2550 จากแพทยสภา และผู้ถูกร้องได้รับหนังสืออนุมัติแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสุขภาพจิตชุมชน ออกให้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 จากแพทยสภา ปรากฏตามหนังสือแพทยสภา ลับ ด่วนที่สุด ที่ พส. 011.6/11424 ลงวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2567 และได้รับใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์และใบอนุญาตเปิดบริษัทคลินิกเสริมความงามซึ่งดูแลด้านผิวพรรณและความงาม โดยผู้ถูกร้องเริ่มประกอบอาชีพแพทย์ทั่วไปที่โรงพยาบาลเพชรรัตน์ จังหวัดเพชรบุรี เป็นเวลาประมาณ 3 ปี
ต่อมาเป็นแพทย์ประจำคลินิกเสริมความงามของวุฒิศักดิ์คลินิกสาขาจังหวัดเพชรบุรี เป็นเวลาประมาณ 4 ปี และได้ผ่านการอบรมระยะสั้นจากสถาบันที่มีชื่อเสียงทั้งภาครัฐและเอกชนประมาณ 10 ครั้ง ปรากฏตามประกาศนียบัตรการฝึกอบรมประกอบการชี้แจงข้อกล่าวหา และได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาลชื่อว่า “เกศกมล คลินิกเวชกรรม” สาขาจังหวัดเพชรบุรี สาขาจังหวัดราชบุรี สาขาจังหวัดนครปฐม และสาขาจังหวัดสุพรรณบุรี รวมกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี แม้แพทยสภาจะให้ข้อมูลว่าแพทยสภาออกหรือรับรองวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติแสดงว่าเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาและอนุสาขา จำนวนทั้งสิ้น 44 สาขา ซึ่งไม่ปรากฏสาขาหรืออนุสาขาด้านผิวพรรณและความงาม
แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏโดยทั่วไปว่า ในประเทศไทยมีคลินิกเวชกรรมหรือสถานประกอบการที่ให้บริการด้านผิวพรรณและความงามอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้วิญญูชนเข้าใจได้ว่าแพทย์ที่ประกอบอาชีพในคลินิกเวชกรรม หรือสถานประกอบการที่ให้บริการด้านความงามและผิวพรรณมีความชำนาญในการประกอบอาชีพดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องมีวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติแสดงว่าเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมด้านผิวพรรณและความงาม
ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องระบุในข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว. 3) ในส่วนของประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่าผู้ถูกร้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงาม จึงมิได้มีลักษณะเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง ประกอบกับไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้องกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4)
@ ประเด็นที่ 2 ร้องว่า 'เกศกมล' ระบุมีประสบการณ์เป็นที่ปรึกษา กมธ.ยุติธรรม เป็นการหลอกลวง
ประเด็นที่ 2 ผู้ร้องที่ 2 ถึงผู้ร้องที่ 7 ยื่นคำร้องและให้ถ้อยคำว่า ผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา กลุ่มที่ 19 โดยระบุในข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว. 3) ในส่วนของประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า ที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง และเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4)
จากการตรวจสอบข้อมูลการดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้มีหนังสือ ลับ ที่ สผ 0003/170 ลงวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2567 แจ้งข้อมูลและส่งสำเนาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 76 วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2564 ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564 และได้พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ปรากฏตามสำเนาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 93 ครั้งที่ 43 วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565
@ รับฟังไม่ได้ว่า 'เกศกมล' ทำผิดในการระบุมีประสบการณ์เป็นที่ปรึกษา กมธ.ยุติธรรม
เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องเคยเป็นที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งในการประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 76 วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2564 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ และผู้ถูกร้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ปรากฏตามบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 76 วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2564 และครั้งที่ 93 วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565 ประกอบกับไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้องกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4)
@ ประเด็นที่ 3 ร้องว่า 'เกศกมล' ระบุมีประสบการณ์เป็นคณะทำงานฯ ของกระทรวงแรงงาน เป็นการหลอกลวง
ประเด็นที่ 3 ผู้ร้องที่ 2 ถึงผู้ร้องที่ 7 ยื่นคำร้องและให้ถ้อยคำว่า ผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา กลุ่มที่ 19 โดยระบุในข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว. 3) ในส่วนของประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า บุคคลหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะทำงานติดตามการดำเนินการตามนโยบายด้านส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กระทรวงแรงงาน ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง และเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4)
จากการตรวจสอบข้อมูลและไต่สวนบุคคลที่เกี่ยวข้อง เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ทำงานในคณะทำงานติดตามการดำเนินการตามนโยบายด้านส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ทำงานในคณะทำงานติดตามการดำเนินการตามนโยบายด้านประกันความมั่นคงในการทำงาน ปรากฏตามหนังสือสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ลับ ด่วนที่สุด ที่ รง 0100.2/066 ลงวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2567
@ รับฟังไม่ได้ว่า 'เกศกมล' ทำผิดในการแนะนำตัวว่าเคยเป็นคณะทำงานฯ ของกระทรวงแรงงาน
เมื่อพิจารณาคำสั่งคณะกรรมการติดตามการดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ 2/2567 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานติดตามการดำเนินการตามนโยบายด้านส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และด้านประกันความมั่นคงในการทำงาน เพิ่มเติม เห็นว่า รูปแบบของการออกคำสั่งเป็นการใช้คำสั่งฉบับเดียวแต่งตั้งคณะทำงานเพิ่มเติม จำนวน 2 คณะ และระบุชื่อเรื่องของคำสั่งว่า แต่งตั้งคณะทำงานติดตามการดำเนินการตามนโยบายด้านส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และด้านประกันความมั่นคงในการทำงานเพิ่มเติม ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นเหตุที่ทำให้ผู้ถูกร้องเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับชื่อคณะทำงานทั้ง 2 คณะดังกล่าว ประกอบกับคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามการดำเนินการตามนโยบายด้านส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และคณะทำงานติดตามการดำเนินการตามนโยบายด้านประกันความมั่นคงในการทำงาน ก็มีหน้าที่ดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเช่นเดียวกัน อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้องมีเจตนากระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4)
@ ประเด็นที่ 4 ร้องว่า 'เกศกมล' แนะนำตัวว่ามีประสบการณ์เป็น กรรมการผู้จัดการ เกศกมล คลินิก ฯลฯ ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง
ประเด็นที่ 4 ผู้ร้องที่ 2 ถึงผู้ร้องที่ 7 ยื่นคำร้องและให้ถ้อยคำว่า ผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา กลุ่มที่ 19 โดยระบุในข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว. 3) ในส่วนของประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า กรรมการผู้จัดการ เกศกมล คลินิก เกศกมล เด็นทัล คลินิก และอินเตอร์ เดอร์มา แลบอราทอรี ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง และเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4)
@ รับฟังไม่ได้ว่า 'เกศกมล' ทำผิดในการแนะนำตัวว่า มีประสบการณ์เป็น กรรมการผู้จัดการ เกศกมล คลินิก ฯลฯ
จากการตรวจสอบข้อมูลและไต่สวนบุคคลที่เกี่ยวข้อง เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องเป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนนิติบุคคลและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท เกศกมล คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด บริษัท เกศกมล เดนทัล คลินิก จำกัด และบริษัท อินเตอร์ เดอร์มา แลบอราทอรี จำกัด จริง ประกอบกับไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้องกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4)
@ ประเด็นที่ 6 ร้องว่าใช้วุฒิปริญญาเอก California University สมัครสว.+ระบุข้อมูล-แนะนำตัวว่า 'ศาสตราจารย์' อาจไม่ตรงกับความจริง
ประเด็นที่ 6 ผู้ร้องที่ 1 ถึงผู้ร้องที่ 7 ยื่นคำร้องและให้ถ้อยคำว่า ผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา กลุ่มที่ 19 โดยระบุในข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว. 3) ในส่วนของประวัติการศึกษาว่า ปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science) California University, U.S.A. และศาสตราจารย์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Professor in Human Resource Development) California University และระบุประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง
และเป็นกรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏจากรายงานผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบุรี ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกร้องแนะนำตัวในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มชื่อ “เส้นทางสว.67#ตะวันตก” ด้วยข้อความว่า “สวัสดีค่ะ หมอเกศค่ะ ศาสตราจารย์ ดร.พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย เป็นหมอด้านสุขภาพจิตชุมชนและผิวพรรณความงามค่ะ กลุ่ม 19 ผู้ประกอบวิชาชีพ จังหวัดเพชรบุรี ค่ะ” และรูปภาพซึ่งระบุประวัติการศึกษาและการทำงาน จึงเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4)
นอกจากนี้ จากการไต่สวนผู้ร้องที่ 1 ให้ถ้อยคำอีกว่า ตนได้ตรวจสอบข้อมูลทำเนียบผู้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการแห่งชาติผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาและราชกิจจานุเบกษาแล้ว ไม่พบว่าผู้ถูกร้องได้รับการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ และจากการไต่สวนผู้ร้องที่ 7 ให้ถ้อยคำอีกว่า ตำแหน่งศาสตราจารย์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Professor in Human Resource Development) California University และปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science) California University, U.S.A. ไม่ใช่วุฒิการศึกษาจากการเรียน แต่เป็นเอกสารรับรองเทียบวุฒิจากหน่วยงานเอกชนในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหน่วยงานราชการในประเทศไทยทั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนไม่รับรอง
อีกทั้ง ผู้ถูกร้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยเกริก เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยผู้ถูกร้องได้นำเอกสารที่อ้างว่าเป็นปริญญาเอก จาก California University ซึ่งในเอกสารระบุว่า ได้รับปริญญาเอกเทียบวุฒิเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567 แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้องใช้คำนำหน้าชื่อว่า ดร.พญ.เกศกมล เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 ก่อนได้รับเอกสารปริญญาเอกตามที่อ้าง ต่อมาเริ่มใช้คำนำหน้าชื่อว่า รศ.ดร.พญ.เกศกมล เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 และเริ่มใช้คำนำหน้าชื่อว่า ศาสตราจารย์ ดร.พญ.เกศกมล เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2567 ซึ่งผู้ถูกร้องได้ใช้คำนำหน้าชื่อเหล่านี้ประชาสัมพันธ์ตนเองต่อสาธารณชนหลายช่องทาง ทั้งบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กส่วนตัว ปักข้อความที่เสื้อสครับใส่ที่คลินิกของผู้ถูกร้อง รวมถึงแสดงต่อหน่วยงานภายนอก นอกจากนี้ยังแสดงตำแหน่งทางวิชาการว่า ศาสตราจารย์ ดร.พญ.เกศกมล ในการแนะนำตัวต่อผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วยกันผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มหลายกลุ่มที่มีสมาชิกซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาประมาณ 1,000 คน
อีกทั้งตนได้ค้นรายงานที่ผู้ถูกร้องอ้างว่าได้รับการตีพิมพ์เกิน 5 เล่มแล้วจึงส่งเทียบวุฒิต่อ California University FCE เพื่อให้ได้เอกสารรับรองวุฒิ “ดร. รศ. และ ศ.” ต่อเนื่องภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน โดยพบว่า รายงานฉบับที่ 1 เผยแพร่เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) รายงานฉบับที่ 2 เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) รายงานฉบับที่ 3 เผยแพร่เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023) รายงานฉบับที่ 4 เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) หลังเสร็จสิ้นการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับอำเภอแล้ว รายงานฉบับที่ 5 เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) หลังเสร็จสิ้นการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศแล้ว และรายงานฉบับที่ 6 และฉบับที่ 7 เผยแพร่เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) หลังเสร็จสิ้นการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศแล้ว ปรากฏตามหน้าเว็บวารสารปี ค.ศ. 2023 - 2024 จากการไต่สวนพยานของผู้ร้องที่ 7 ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกสมาชิกวุฒิสภา ระดับจังหวัด จังหวัดร้อยเอ็ด ให้ถ้อยคำว่า ตนได้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา กลุ่มที่ 19 โดยศึกษาจากข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว. 3) และเห็นข้อมูลของผู้ถูกร้องน่าสนใจ เนื่องจากระบุประวัติการศึกษาว่าเป็นแพทย์ความงามและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ซึ่งมีผลจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง
นางสาวเกศกมล เปลี่ยนสมัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.)
@ 'เกศกมล' ยืนยันว่าได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ จาก California University
จากการไต่สวนผู้ถูกร้องชี้แจงข้อกล่าวหาเป็นหนังสือว่า มิได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ตนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต และได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ จาก California University ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่จดทะเบียนถูกต้องและได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อปี พ.ศ. 2564 ขณะตนกำลังศึกษา ระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเกริก ตนได้พบกับพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2 ซึ่งเป็นผู้แทนของ California University FCE ประจำประเทศไทย ชักชวนให้ตนเรียนปริญญาเอก ซึ่งตนสนใจเข้าศึกษาปริญญาเอก ใช้ระยะเวลาในการศึกษาประมาณ 3 ปี และชำระค่าใช้จ่ายในการศึกษา ภาคเรียน ภาคเรียนละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ รวมค่าใช้จ่าย 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยตนได้ทำดุษฎีนิพนธ์ เรื่อง GOOD GOVERNANCE PRINCIPLES AFFECTING ORGANNIZATION EFFICIENCY OF PUBLIC COMPANIES IN ASEAN COUNTRIES โดยส่งผ่านพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2 และมีคณะกรรมการในการสอบดุษฎีนิพนธ์จำนวน 3 ท่าน เป็นผู้ตรวจสอบ โดยตนได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการระดับศาสตราจารย์ สาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ส่วนที่ตนระบุว่า ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย เพราะตนมีหลักฐานการสำเร็จการศึกษาดุษฎีบัณฑิตและได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ สาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แต่ไม่เคยทำงานในตำแหน่งศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย แต่อย่างใด
@ รายละเอียดไต่สวนพยาน+ตรวจสอบข้อมูล
จากการไต่สวนพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบุรี ให้ถ้อยคำว่า ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาครั้งนี้ ตนเป็นสมาชิกในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มชื่อ “เส้นทางสว.67 #ตะวันตก” มีสมาชิกในกลุ่มจำนวน 48 คน ซึ่งผู้ถูกร้องแนะนำตัวว่า ศาสตราจารย์ ดร.พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย เป็นหมอด้านสุขภาพจิตชุมชนและผิวพรรณความงาม กลุ่ม 19 ผู้ประกอบวิชาชีพ จังหวัดเพชรบุรี โดยผู้ถูกร้องใช้ตำแหน่งศาสตราจารย์ นำหน้าชื่อตนเองเพื่อให้มีความน่าเชื่อถือและให้ได้รับคะแนนจากผู้สมัครด้วยกัน ซึ่งการแต่งตั้งศาสตราจารย์ในประเทศไทยจะต้องผ่านกระบวนการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย (ก.ม.) และทบวงมหาวิทยาลัยจะเป็นผู้ให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งและนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อทูลเกล้าฯ พระมหากษัตริย์เพื่อโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ ปรากฏตามรายงานผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบุรี ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2567
จากการไต่สวนพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2 ซึ่งเป็นผู้แทนของ California University FCE ประจำประเทศไทย ให้ถ้อยคำว่า California University FCE ตั้งอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นสถาบันการศึกษาที่ให้บริการประเมินและเทียบวุฒิการศึกษาโดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา รวมถึงกระทรวงศึกษาธิการแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ไม่มีการเรียนการสอน ซึ่งหากผู้ต้องการเทียบวุฒิการศึกษามีคุณสมบัติไม่ครบ สถาบันจะมีการแนะนำให้ศึกษาต่อกับมหาวิทยาลัยในเครือที่ทำข้อตกลงร่วมกัน และมีการทำวิจัย ทำวิทยานิพนธ์ และตีพิมพ์บทความทางวิชาการเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของทางสถาบัน ซึ่งตนเป็นผู้ประสานงานของ California University FCE และมีอำนาจในการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารของผู้ต้องการเทียบวุฒิการศึกษาเฉพาะในประเทศไทยและประสานกับสถาบันดังกล่าว โดยทำหน้าที่นี้มาประมาณ 10 ปี แต่ California University FCE ไม่อยู่ในระบบการรับรองวิทยฐานะสถาบันการศึกษาจาก The WASC Senior College and University Commission (WSCUC) หรือชื่อเดิมชื่อว่า Western Association of Schools and Colleges (WASC) ซึ่ง California University FCE ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐอเมริกา แต่ยังไม่ได้การรับรองจากคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เนื่องจากยังไม่มีบุคคลใดหรือองค์กรใดนำวุฒิการศึกษาจาก California University FCE ไปยื่นเพื่อเทียบวุฒิต่อคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเพื่อเข้ารับราชการ
ในส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการพิจารณาให้ตำแหน่งศาสตราจารย์และให้วุฒิการศึกษาปริญญาเอกเป็นการดำเนินการของ California University FCE ตนมีหน้าที่เพียงติดต่อประสานงานและรับส่งเอกสารให้แก่ผู้ถูกร้อง รวมทั้งเป็นผู้จัดทำและรับรองหนังสือฉบับลงวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2567 เรื่อง ยืนยันเอกสารการสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการระบุในข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว. 3) ของผู้ถูกร้อง และในส่วนของวุฒิการศึกษาดังกล่าวของผู้ถูกร้องอยู่ระหว่างดำเนินการขอให้สถานเอกอัครราชทูตฯ ในสหรัฐอเมริกาออกหนังสือรับรอง เนื่องจากสถานเอกอัครราชทูตฯ แจ้งว่าต้องให้หน่วยงานราชการในประเทศไทยทำหนังสือไปยังสถานเอกอัครราชทูตฯ จึงจะสามารถออกหนังสือรับรองได้ สถาบันจึงได้ออกหนังสือรับรองวุฒิการศึกษาเพื่อยืนยันว่าได้มอบปริญญาบัตรรัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตและตำแหน่งทางวิชาการให้แก่ผู้ถูกร้อง โดยมีการประเมินตามขั้นตอนเพื่อยืนยันว่าผู้ถูกร้องได้รับวุฒิการศึกษาหรือตำแหน่งศาสตราจารย์ดังกล่าวจริง จากการไต่สวนพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 3 ถึงคนที่ 11 ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาและผู้มีสิทธิเลือกระดับประเทศ ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า ข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว. 3) ดังกล่าวของผู้ถูกร้องมีผลจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง
จากการตรวจสอบข้อมูลขั้นตอนในการรับรองคุณวุฒิของผู้สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ และการรับรองคุณวุฒิของ California University FCE สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนได้มีหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ นร 1004.3/ล 8 ลงวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 แจ้งข้อมูลว่า สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการรับรองคุณวุฒิของผู้ได้รับปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือคุณวุฒิอย่างอื่น เพื่อประโยชน์ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนและการกำหนดอัตราเงินเดือนหรือค่าตอบแทน รวมทั้งระดับตำแหน่งและประเภทตำแหน่งสำหรับคุณวุฒิดังกล่าว ตามนัยมาตรา 13 (11) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 การรับรองคุณวุฒิผู้สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนจะพิจารณาผู้สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศเป็นรายกรณี โดยจะพิจารณารับรองคุณวุฒิการศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่ได้รับการรับรองวิทยฐานะสถาบันการศึกษาจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของประเทศนั้น ๆ ให้บรรจุเข้ารับราชการได้
และโดยที่ระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของสหรัฐอเมริกาไม่ได้ดำเนินการโดยตรงจากรัฐบาลกลาง แต่ละรัฐจะเป็นผู้วางนโยบาย เงื่อนไข และกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการจัดตั้งสถาบันการศึกษาภายในรัฐนั้น ๆ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบที่กำหนดไว้เป็นกฎหมายในแต่ละรัฐ กรณีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในรัฐแคลิฟอร์เนีย จะต้องได้รับการรับรองวิทยฐานะสถาบันการศึกษาจาก The WASC Senior College and University Commission (WSCUC) หรือชื่อเดิม Western Association of Schools and Colleges (WASC) ดังนั้น ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในรัฐแคลิฟอร์เนียที่ได้รับการรับรองจาก WSCUC หรือ WASC แล้วเท่านั้น ที่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนจะรับรองคุณวุฒิเพื่อให้สามารถบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนได้ โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนได้ตรวจสอบแล้วไม่พบว่าผู้ถูกร้องได้ส่งข้อมูลคุณวุฒิการศึกษาให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนพิจารณารับรองคุณวุฒิหรือรับรองคุณวุฒิเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือน
@ ข้อเท็จจริงจากการไต่สวน : 'เกศกมล' ไม่มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลผู้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่ ก.พ.อ. และ กกอ. กำหนด
จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มีหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ อว 0204.6/1792 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 แจ้งข้อมูลว่า การพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ “ศาสตราจารย์” สำหรับกรณีข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา มีขั้นตอนการดำเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559 และสำหรับกรณีคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน มีขั้นตอนการดำเนินการตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562
ทั้งนี้ การกำหนดคุณสมบัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ต้องเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. 2564 และระเบียบคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่เกี่ยวข้อง และสำหรับกรณีตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มีสถานภาพเป็นพนักงานในสถาบันอุดมศึกษานั้น เป็นอำนาจของสภาสถาบันอุดมศึกษาในการออกข้อบังคับและดำเนินการให้เป็นไปตามข้อบังคับ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551
จากการตรวจสอบข้อมูลของผู้ถูกร้อง ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้องไม่มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลผู้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) และคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กำหนด ประกอบกับไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีสถาบันอุดมศึกษาใดเคยขอให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พิจารณาดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์แต่อย่างใด และจากการตรวจสอบข้อมูล ปรากฏว่าสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ยังไม่เคยพิจารณาเทียบคุณวุฒิการศึกษาจาก California University และ California University FCE
@ ต้องพิจารณาเป็น 2 กรณี : 1.กรณีวุฒิการศึกษาปริญญาเอก 2.กรณีระบุประวัติ+แนะนำตัวว่า 'ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย'
เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา กลุ่มที่ 19 โดยระบุในข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว. 3) ในส่วนของประวัติการศึกษาว่า ปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science) California University, U.S.A. และศาสตราจารย์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Professor in Human Resource Development) California University และระบุประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย จึงต้องพิจารณาเป็น 2 กรณีว่า การที่ผู้ถูกร้องแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาในส่วนของประวัติการศึกษาว่า ปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science) California University, U.S.A. และแนะนำตัวเกี่ยวกับประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย เป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4) หรือไม่
@ กรณีวุฒิการศึกษาปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science) California University, U.S.A.
กรณีวุฒิการศึกษา ผู้ถูกร้องระบุประวัติการศึกษาว่า “2.2 ปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science) California University, U.S.A.” พิจารณาแล้วเห็นว่า จากการไต่สวนผู้ถูกร้องและพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2 ซึ่งเป็นผู้แทนของ California University FCE ประจำประเทศไทย ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า ผู้ถูกร้องได้รับการประเมินคุณวุฒิการศึกษาระดับเทียบเท่ารัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor Of Political Science) จาก California University FCE โดยผู้ถูกร้องมีเอกสารหลักฐาน ได้แก่ หนังสือรับรองคุณวุฒิ ประกาศนียบัตร สำเนาใบเสร็จรับเงิน และปกดุษฎีนิพนธ์พร้อมสำเนาสารบัญ ออกให้โดย California University FCE เพื่อยืนยันว่าผู้ถูกร้องสำเร็จการศึกษาตามวุฒิการศึกษาดังกล่าวตามที่ระบุไว้ในข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว. 3) จริง โดยสำเนาใบเสร็จรับเงินจำนวน ฉบับดังกล่าว ซึ่งออกโดย California University FCE ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการศึกษาหลักสูตรรัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต จาก California University FCE เป็นค่าลงทะเบียนเรียนจำนวน 5 ภาคเรียน ภาคเรียนละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสอดรับกับที่ผู้ถูกร้องได้ชี้แจงว่าตนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต จาก California University โดยได้รับการชักชวนจากพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2 ซึ่งเป็นผู้แทนของ California University FCE ประจำประเทศไทย ให้เข้าศึกษาปริญญาเอก โดยใช้ระยะเวลาในการศึกษาประมาณ 3 ปี และชำระค่าใช้จ่ายในการศึกษา ภาคเรียน ภาคเรียนละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ
และพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2 ก็ให้ถ้อยคำยืนยันอีกว่า California University FCE ตั้งอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นสถาบันการศึกษาที่ให้บริการประเมินและเทียบวุฒิการศึกษาโดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา รวมถึงกระทรวงศึกษาธิการแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ไม่มีการเรียนการสอน ซึ่งหากผู้ต้องการเทียบวุฒิการศึกษามีคุณสมบัติไม่ครบ สถาบันจะมีการแนะนำให้ศึกษาต่อกับมหาวิทยาลัยในเครือที่ทำข้อตกลงร่วมกัน และมีการทำวิจัย ทำวิทยานิพนธ์ และตีพิมพ์บทความทางวิชาการเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของทางสถาบัน ซึ่งตนเป็นผู้ประสานงานของ California University FCE และมีอำนาจในการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารของผู้ต้องการเทียบวุฒิการศึกษาเฉพาะในประเทศไทยและประสานกับทางสถาบันดังกล่าว โดยทำหน้าที่นี้มาประมาณ 10 ปี แต่ California University FCE ไม่อยู่ในระบบการรับรองวิทยฐานะสถาบันการศึกษาจาก The WASC Senior College and University Commission (WSCUC) หรือชื่อเดิมชื่อว่า Western Association of Schools and Colleges (WASC) ซึ่ง California University FCE ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐอเมริกาเพียงแต่ยังไม่ได้การรับรองจากคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เนื่องจากยังไม่มีบุคคลใดหรือองค์กรใดนำวุฒิการศึกษาจาก California University FCE ไปยื่นเพื่อเทียบวุฒิต่อคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเพื่อเข้ารับราชการ อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา
@ ระบุวุฒิการศึกษาปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science) California University, U.S.A. ยังไม่เป็นการหลอกลวง
กรณีจึงน่าเชื่อว่าการที่ผู้ถูกร้องแนะนำตัวในส่วนของประวัติการศึกษาว่า ปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science) California University, U.S.A. ยังไม่เป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง ในชั้นนี้ ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้องกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4)
@ กรณีระบุประวัติ+แนะนำตัวว่า 'ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย'
กรณีศาสตราจารย์ ผู้ถูกร้องระบุประวัติการศึกษาว่า “2.1 ศาสตราจารย์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Professor in Human Resource Development) California University” และระบุประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า “ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย” พิจารณาแล้วเห็นว่า จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มีหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ อว 0204.6/1792 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 แจ้งข้อมูลว่า การพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ “ศาสตราจารย์” สำหรับกรณีข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา มีขั้นตอนการดำเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2559 และสำหรับกรณีคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน มีขั้นตอนการดำเนินการตามพระราชบัญญัติอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562
ทั้งนี้ การกำหนดคุณสมบัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ ต้องเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. 2564 และระเบียบคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่เกี่ยวข้อง และสำหรับกรณีตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มีสถานภาพเป็นพนักงานในสถาบันอุดมศึกษานั้น เป็นอำนาจของสภาสถาบันอุดมศึกษาในการออกข้อบังคับและดำเนินการให้เป็นไปตามข้อบังคับ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551
จากการตรวจสอบข้อมูลของผู้ถูกร้องปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกร้องไม่มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลผู้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) และคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กำหนด ประกอบกับไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีสถาบันอุดมศึกษาใดเคยขอให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พิจารณาดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ และจากการตรวจสอบข้อมูลปรากฏว่าสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ยังไม่เคยพิจารณาเทียบคุณวุฒิการศึกษาจาก California University และ California University FCE ประกอบกับผู้ถูกร้องก็ให้ถ้อยคำว่า ไม่เคยทำงานในตำแหน่งศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย
@ ระบุข้อมูล+แนะนำตัวว่า 'ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย' โดยไม่ได้เป็น ศ. เป็นการหลอกลวง
ข้อเท็จจริงจึงเป็นที่ยุติว่า ผู้ถูกร้องมิได้มีตำแหน่งทางวิชาการศาสตราจารย์ตามหลักการและขั้นตอนที่กำหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าวข้างต้นของประเทศไทย อีกทั้งพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 3 ถึงคนที่ 11 ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาและเป็นผู้มีสิทธิเลือกระดับประเทศ ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า ข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว. 3) ซึ่งระบุว่า ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย มีผลจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง
ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาว่าเป็น “ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย” โดยที่ผู้ถูกร้องมิได้ดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ตามกฎหมายของประเทศไทย จึงเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง ซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือก และทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 และมาตรา 77 (4)
@ ไต่สวนเพิ่มอีก 3 กรณี ประเด็นการใส่ชุดครุย
กรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏจากรายงานการไต่สวนเพิ่มเติมจำนวน 3 กรณี ได้แก่ กรณีที่ 1 สวมชุดครุยวิทยฐานะของ California University FCE กรณีที่ 2 สวมชุดครุยวิทยฐานะวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยเกริก และกรณีที่ 3 สวมชุดครุยวิทยฐานะวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกของ Universal Institute of Professional Management ผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยใช้ภาพถ่ายผู้ถูกร้องใส่ชุดครุยวิทยฐานะโดยไม่มีสิทธิ ซึ่งเข้าข่ายหรือมีลักษณะเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4)
จากการไต่สวนผู้ถูกร้องชี้แจงข้อกล่าวหาเป็นหนังสือว่า ตามภาพถ่ายทั้ง 3 ภาพ ที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนให้ดูเป็นภาพถ่ายชุดครุยวิทยฐานะของตน ซึ่งตนมิได้ใช้ภาพถ่ายทั้ง 3 ภาพดังกล่าวในการสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภารวมทั้งการแนะนำตัว โดยภาพถ่ายที่ 1 เป็นชุดครุยวิทยฐานะสำหรับวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต ของ California University FCE ภาพถ่ายที่ 2 เป็นชุดครุยวิทยฐานะสำหรับวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยเกริกในการรับประกาศนียบัตรสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาอบรมหลักสูตรแพทย์ศาสตร์ป้องกันสุขภาพจิตชุมชนของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และภาพถ่ายที่ 3 เป็นชุดครุยวิทยฐานะของ Professional Honorary doctorate degree จาก Universal Institute of Professional Management ซึ่งชุดครุยดังกล่าวเป็นชุดครุยกิตติมศักดิ์ที่สถาบันดังกล่าวมอบให้เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติให้แก่ตนในฐานะผู้ประกอบการมืออาชีพ จากการไต่สวนพยานผู้ถูกร้องซึ่งเป็นผู้แทนของ Universal Institute of Professional Management ในประเทศไทย ให้ถ้อยคำสอดคล้องกับผู้ถูกร้องว่า Universal Institute of Professional Management อนุมัติให้ผู้ถูกร้องได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ Professional honorary doctorate degree ซึ่งเป็นการได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ด้านผู้ประกอบการมืออาชีพจาก Universal Institute of Professional Management และผู้ถูกร้องมีสิทธิใส่ชุดครุยวิทยฐานะดังกล่าว
จากการไต่สวนพยานที่ไต่พยานและตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่า กรณีที่ 1 เป็นภาพถ่ายผู้ถูกร้องใส่ชุดครุยของ California University FCE เมื่อผู้ถูกร้องได้รับการประเมินคุณวุฒิการศึกษาระดับเทียบเท่ารัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor Of Political Science) จาก California University FCE ผู้ถูกร้องจึงมีสิทธิใส่ชุดครุยวิทยฐานะของวุฒิการศึกษา Doctor Of Political Science ของ California University FCE กรณีที่ 2 เป็นภาพถ่ายผู้ถูกร้องใส่ชุดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยเกริก เมื่อผู้ถูกร้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเกริก ผู้ถูกร้องจึงมีสิทธิใส่ชุดครุยวิทยฐานะของวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยเกริก และกรณีที่ 3 เป็นภาพผู้ถูกร้องใส่ชุดครุยของ Universal Institute of Professional Management ซึ่งจากการไต่สวนผู้ถูกร้องและพยานผู้ถูกร้องซึ่งเป็นผู้แทนของ Universal Institute of Professional Management ในประเทศไทย ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า Universal Institute of Professional Management อนุมัติให้ผู้ถูกร้องได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (Professional honorary doctorate degree) ผู้ถูกร้องจึงมีสิทธิใส่ชุดครุยวิทยฐานะดังกล่าว อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้องกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4)
จึงมีคำสั่งในประเด็นที่ 1 ถึงประเด็นที่ 5 กรณีวุฒิการศึกษาให้ยกคำร้อง ประเด็นที่ 6 กรณีศาสตราจารย์ ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนางสาวเกศกมล เปลี่ยนสมัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 62 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 226 และให้ดำเนินคดีอาญาแก่นางสาวเกศกมล เปลี่ยนสมัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (4) และกรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏจากรายงานการไต่สวนเพิ่มเติม (จำนวน 3 กรณี) ให้ยุติเรื่อง
นายอิทธิพร บุญประคอง
ประธานกรรมการการเลือกตั้ง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา