“…ลงโทษจำเลยที่ 4 (บุญยิ่ง นิติกาญจนา) ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 12 (วิวัฒน์ นิติกาญจนา) จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน และลงโทษจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ปรับคนละ 250,000 บาท หากจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29…”
...........................................
สืบเนื่องจากกรณีที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 1 ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อท 53/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท 17/2567 และคดีหมายเลขดำที่ อท 60/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท 18/2568 ซึ่งเป็นคดีที่อัยการสูงสุด (โจทก์) ยื่นฟ้องจำเลย 13 ราย ในคดีทุจริตการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเส้น เมื่อปี 2553
โดยศาลฯพิพากษาจำคุก นายมนัส สร้อยพลอย (จำเลยที่ 1) จำคุก 10 ปี ส่วน นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ซึ่งปัจจุบันเป็น สส.จังหวัดราชบุรี เขต 2 พรรคกล้าธรรม และ นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา หรือ ‘กำนันตุ้ย’ สามีของนางบุญยิ่ง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี (จำเลยที่ 12) ศาลพิพากษาให้จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน
ขณะที่จำเลยในคดีนี้ได้ยื่นอุทธรณ์ฯ และได้รับการประกันตัวแล้ว นั้น (อ่านประกอบ : ไขคำพิพากษาคดีมันฯ ศาลสั่ง4 หน่วยงานรัฐฟ้องแพ่ง สส.บุญยิ่ง-นายกฯตุ้ย-พวก ชดใช้ 2 พันล.)
โดยในตอนที่แล้ว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำเสนอพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดและคำวินิจฉัยของศาลฯในคดีนี้ (อ่านประกอบ : ฉบับเต็ม! คำพิพากษาคดีมันฯ(1) แก้TORเอื้อ‘สส.บุญยิ่ง-นายกตุ้ย-พวก’ก่อนนำขายกิน‘ส่วนต่าง’)
ในตอนสุดท้ายนี้ สำนักข่าวอิศรา จึงขอนำเสนอคำพิพากษาในส่วนการลงโทษจำเลยที่กระทำความผิดแต่ละราย มีรายละเอียด ดังนี้
@ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต เอื้อเอกชนประมูล‘มันเส้น’
คดีหมายเลขดำที่ อท 53/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท 17/2567 และคดีหมายเลขดำที่ อท 60/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท 18/2568
โจทก์
-อัยการสูงสุด
ผู้ร้อง
-กรมการค้าต่างประเทศ (ผู้ร้องที่ 1)
-องค์การคลังสินค้า (ผู้ร้องที่ 2)
-กระทรวงพาณิชย์ (ผู้ร้องที่ 3)
-กระทรวงการคลัง (ผู้ร้องที่ 4)
จำเลย
-นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (จำเลยที่ 1)
-บริษัท เอเซีย ฟรุคโตส จำกัด (จำเลยที่ 2)
-นางศิริวรรณ ทรัพย์ส่งแสง กรรมการ บริษัท เอเซีย ฟรุคโตส จำกัด (จำเลยที่ 3)
-นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา (จำเลยที่ 4)
-นางกัลยา ศิริพลวุฒิกุล กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท กาญจนพันธ์ ฟาร์ม จำกัด (จำเลยที่ 5)
-นายอริยนัทธ์ รังษีเสริมสุข ตัวแทนไพรสะเดาฟาร์ม (จำเลยที่ 6)
-นางเสาวลักษณ์ เย็นใส ตัวแทนหนองลังกาฟาร์ม (จำเลยที่ 7)
-บริษัท กาญจนพันธ์ ฟาร์ม จำกัด (จำเลยที่ 8)
-บริษัท กาญจนาฟาร์ม จำกัด (จำเลยที่ 9)
-บริษัท ธารณ์ธนวัต จำกัด (จำเลยที่ 10)
-บริษัท กาญจนา เฟรช พอร์ค จำกัด (จำเลยที่ 11)
-นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา (จำเลยที่ 12)
-นายวิชิต ปาลวิสุทธิ์ (จำเลยที่ 13)
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 (มนัส สร้อยพลอย) สั่งการให้กำหนดคุณสมบัติผู้เสนอชื้อ ในการระบายมันสำปะหลังเส้นเพื่อการใช้ภายในประเทศ เฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์
ไม่เป็นคณะรัฐมนตรีและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการกีดกันกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ใช้มันสำปะหลังเส้นเป็นวัตถุดิบ ทำให้ไม่สามารถเข้าแข่งขันเสนอราคาได้อย่างเป็นธรรม และเป็นการช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 มีสิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยไม่เป็นธรรม ดังเหตุผลที่วินิจฉัยข้างต้น
จำเลยที่ 1 เป็นประธานคณะทำงานกำหนดยุทธศาสตร์การระบายผลิตภัตภัณฑ์ และประธานคณะทำงานดำเนินการระบายผลิตลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ซึ่งในการดำเนินการระบายายผลิตลิตภัณฑ์สำปะหลัง จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์การระบายมันสำปะหลัง ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง
แม้ในการดำเนินการจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจพิจารณาอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบเอง ต้องดำเนินการในรูปของคณะทำงาน เสนอผลการดำเนินการผ่านคณะอนุกรรมการด้านการตลาดมันสำปะหลัง คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง จนถึงได้รับความเห็นชอบอนุมัติให้ดำเนินการจากคณะรัฐมนตรี หรือมันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง จะไม่เป็นพัสดุ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535
แต่ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการในการระบายมันสำปะหลังเส้น ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 แล้ว
การที่จำเลยที่ 1 ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตกำหนดคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อ ในการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 9 ไม่เป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์การระบายตามมติคณะรัฐมนตรี เป็นการกีดกันไม่ให้กลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ใช้มันสำปะหลังเส้นเป็นวัตถุดิบเข้าเสนอราคาแข่งขัน
โดยมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือกลุ่มของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 ให้มีสิทธิเข้าทำสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังเส้นกับองค์การคลังสินค้าโดยไม่เป็นธรรม ก่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ องค์การคลังสินค้าและรัฐ
จำเลยที่ 1 จึงกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจตำแหน่งโดยทุจริต ตามประมวลฎหมายอาญา มาตรา 151, 83 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่จำต้องปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
และจำเลยทำเลยที่ 1 ยังกระทำความผิด ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐโดยทุจริต เพื่อช่วยเหลือให้ผู้เสนอราคารายใดให้มีสิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยไม่เป็นธรรม หรือเพื่อกีดกันผู้เสนอราคารายใด ไม่ให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม
และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายไม่ให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใด ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 11 และมาตรา 12 จำเลยที่ 1 จึงกระทำความผิดจริงตามฟ้อง
@ชี้‘สส.บุญยิ่ง-นายกตุ้ย-พวก’เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด
สำหรับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 นอกจากการกระทำของจำเลยที่ 1 จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่จำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 ดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว ตามทางไต่สวนข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 12 (วิวัฒน์ นิติกาญจนา) มอบหมายให้จำเลยที่ 6 ถึงที่ 8 เข้าร่วมประมูลเสนอซื้อมันสำปะหลังเส้น ในการระบายผลิตภัตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 9 โดยมีจุดประสงค์แต่แรกที่จะนำไปจำหน่ายต่อแก่บุคคคลภายนอก เพื่อหวังประโยชน์จากส่วนต่างของราคา
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงยังรับฟังได้ดังกล่าวข้างต้นอีกว่า จำเลยที่ 4 (บุญยิ่ง นิติกาญจนา) ที่ 5 ที่ 8 ถึงที่ 12 มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ขั้นตอนการเข้าเสนอราคา ซึ่งต้องมีการวางหลักประกันของต่อกรมการค้าต่างประเทศ ขั้นตอนการเข้าทำสัญญา ซึ่งต้องมีการวางหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญากับองค์การคลังสินค้า
และการเบิกถอนเงินหรือโอนเงินจากจากบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 8 ถึงที่ 12 หรือการซื้อแคชเชียร์เช็คชำระค่ามันสำปะหลังให้แก่องค์การคลังสินค้า เพื่อขอรับหลักฐานเป็นใบส่งสินค้าที่องค์การคลังสินค้าออกให้ นำไปรับมันสำปะหลังเส้นออกจากคลังสินค้า
เมื่อข้อเท็จจริงตามที่วินิจฉัยมาการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่จำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 12 มอบหมายให้จำเลยที่ 6 ถึงที่ 8 เข้าประมูลเสนอราคา ก็โดยมีจุดประสงค์เดียว เพื่อให้ได้รับมันสำปะหลังเส้นปริมาณทั้งหมดใน 14 คลังไปเป็นประโยชน์ เพียงแต่คณะรัฐมนตรีคงมีมติอนุมัติให้จำหน่ายเฉพาะในส่วนของการจำหน่ายแก่จำเลยที่ปริมาณ 175,989.92 ตัน มูลค่ารวม 1,023,002,061.04 บาท
และการที่จำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 เข้าดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำเป็นขบวนการ จนในท้ายที่สุด นำมันสำปะหลังเส้นที่ซื้อขายประมูลมาได้ออกจากคลังสินค้า ไปจำหน่ายต่อให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ใช้มันสำปะหลังเส้นเป็นวัตถุดิบ โดยกลุ่มของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 ได้รับประโยชน์จากส่วนต่างของราคามันสำปะหลังเส้นที่นำไปจำหน่ายต่อ
พฤติการณ์แห่งคดีบ่งชี้ว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 เป็นตัวการร่วมกันในการกระทำความผิดแล้ว โดยมีลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เมื่อจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 ไม่มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐหรือได้รับมอบหมายจากหน่วยงานของรัฐ
จำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 จึงกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 จึงเป็นความผิดจริงตามฟ้อง
@ยกฟ้อง‘เอเซีย ฟรุคโตส-ศิริวรรณ’รับฟังไม่ได้‘ร่วมรู้เห็นเป็นใจ’
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า จำเลยที่ 2 (บริษัท เอเซีย ฟรุคโตส จำกัด) และที่ 3 (ศิริวรรณ ทรัพย์ส่งแสง) กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังกล่าวข้างต้นว่า ในขั้นตอนการเข้าเสนอราคาของจำเลยที่ 7 เข้ายื่นประมูลในชื่อหนองลังกาฟาร์ม และจำเลยที่ 8 มีการใช้แคชเชียร์เช็คธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยของจำเลยที่ 2 รวม 6 ฉบับ เป็นหลักประกันซองในการเข้าเสนอราคาของจำเลยที่ 7 และที่ 8
โดยแคชเชียร์เช็คดังกล่าวทั้ง 6 ฉบับ เคยถูกใช้ยื่นต่อกรมการค้าต่างประเทศ เป็นหลักประกันซองของจำเลยที่ 2 ในการเข้ายื่นของเสนอซื้อในการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 8 แต่คณะอนุกรรมการด้านการตลาดมันสำปะหลังมีมติยกเลิกการเสนอราคา และเปิดการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 9 ซึ่งจำเลยที่ 2 ไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้ซื้อตามหนังสือเชิญชวนตามที่จำเลยที่ 1 กำหนด
และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระเงินค่ามันสำมันสำปะหลังเส้นของจำเลยที่ 8 ในส่วนของคลังสินค้าไชยฤกษ์ จันทร์วัฒน์ศิริ และคลังสินค้านายภาณุพันธ์ทั้งหมด ตามสำเนาใบส่งสินค้าเอกสารหมาย จ.20 โดยจำเลยที่ 2 มีหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาตั้งแต่ในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และเบิกความต่อศาลยืนยันว่า เหตุที่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ซื้อมันสำปะหลังทั้งหมดในคลังสินค้าดังกล่าว เนื่องจากจำเลยที่ 12 ติดต่อให้ช่วยซื้อในราคาตันละ 6,100 บาท
เห็นว่า เมื่อตามหนังสือเชิญชวนในส่วนเงื่อนไขการวางหลักประกันซอง ข้อ 6.4 กำหนดว่า ผู้ยื่นซองเสนอซื้อ จะต้องมีหลักประกันของเป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคาร หรือตัวแลกเงิน หรือเช็คธนาคารที่ออกโดยธนาคารที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น สั่งจ่ายกรมการค้าต่างประเทศในอัตราร้อยละ 2 ของมูลค่าสินค้าที่ยื่นเสนอซื้อ (ไม่รับเงินสด) โดยใส่ไว้ในซองเสนอซื้อแต่ละชอง ซึ่งไม่ได้มีการกำหนดว่าหลักประกันซองต้องเป็นของผู้เสนอราคา
การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสืบอ้างว่า จำเลยที่ 12 มีความคุ้นเคยในการทำธุรกิจ และเป็นลูกค้าเก่าของจำเลยที่ 2 มาแต่เดิม มาขอยืมแคชเชียร์เช็คดังกล่าว เพื่อเป็นหลักประกันซอง โดยเป็นแคชเชียร์เช็คที่จำเลยที่ 2 ได้รับคืนมาจากการยกเลิกการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ครั้งที่ 8
จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ดำเนินการออกแคชเชียร์เช็คทั้ง 6 ฉบับ เพื่อใช้เป็นหลักประกันซองในการยื่นประมูลเสนอราคาของจำเลยที่ 7 และที่ 8 มาแต่แรก
อีกทั้งราคาที่จำเลยที่ 2 ซื้อต่อมันสำปะหลังเส้นจากจำเลยที่ 12 ก็เป็นราคาที่สูงกว่าจำเลยที่ 8 ทำสัญญาซื้อขายกับองค์การคลังสินค้า ซึ่งหากจำเลยที่ 2 ร่วมรู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 จริง ก็ควรได้รับส่วนแบ่งหรือประโยชน์/เป็นมันสำปะหลังเส้นตามราคาที่จำเลยที่ 8 ประมูลได้ หรือในราคาที่ใกล้เคียงกัน
ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรู้เห็นเป็นใจหรือสนับสนุนในการกระทำความผิดของจำเลยอื่น การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณามี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 มาตรา 7 แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 151 เดิม และมาตรา 157 เดิม กฎหมายไม่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด จึงต้องใช้ตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดอันเป็นส่วนที่เป็นคุณตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
@ให้ 4 หน่วยงานฟ้องคดีแพ่งฯเรียกค่าเสียหาย 2 พันล.เอง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ (กรมการค้าต่างประเทศ ,องค์การคลังสินค้า ,กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง) หรือไม่เพียงใด
เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 เป็นความผิดจริงตามฟ้อง โดยในการพิพากษาคดีในส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 6
ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่า การกระทำของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 เป็นการร่วมกันจงใจกระทำละเมิดต่อผู้ร้องทั้งสี่เป็นเหตุให้ผู้ร้องทั้งสี่ได้รับความเสียหายแล้ว จำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 จึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่
ผู้ร้องทั้งสี่เรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นราคามันสำปะหลังเส้นอันเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องทั้งสี่ต้องเสียไป เพราะการกระทำละเมิดเป็นเงิน 1,013,062,369.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราผิดนัดตามกฎหมาย รวมกันเป็นเงินทั้งสิ้น 2,015,034,819.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ของต้นเงิน 1,013,062,369.50 บาท นับแต่วันยื่นคำร้อง
แต่ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนได้ความว่า จำเลยที่ 8 ชำระราคาค่ามันสำปะหลังเส้นตามสัญญาซื้อขายแก่ผู้ร้องที่ 2 และได้รับมันสำปะหลังเส้นจากคลังสินค้าไปแล้ว โดยจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 นำมันสำปะหลังเส้นเป็นปริมาณส่วนใหญ่ไปจำหน่ายต่อให้แห้แก่บุคคลภายนอกและได้รับประโยชน์จากส่วนต่างของราคา
ดังนั้น การกำหนดจำนวนค่าสินไหมทดแทนให้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 รับผิดชดใช้ให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ แม้ศาลอาจพิจารณากำหนดให้ได้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด แต่อย่างน้อยต้องมีฐานในการคิดคำนวณ
โดยหักจากราคาค่ามันสำปะหลังที่จำเลยที่ 8 ชำระแก่ผู้ร้องที่ 2 แล้วตามสัญญาซื้อขาย ผลประโยชน์จากส่วนต่างของราคาและปริมาณมันสำปะหลังเส้นที่จำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 ได้รับจากการนำไปจำหน่ายต่อให้แก่บุคคลภายนอก และราคาของมันสำปะหลังเส้นท้องตลาดโดยทั่วไปในขณะนั้น นอกจากนี้ ยังต้องรับฟังข้อต่อสู้ตามคำให้การส่วนแพ่งของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 หากมีอีกด้วย
แต่เมื่อคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ คงบรรยายจำนวนเงินทั้งหมดที่จำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 ต้องชำระ ตามราคามันสำปะหลังเส้นที่รับไปจากฝ่ายผู้ร้องตามสัญญาเท่านั้น ไม่มีข้อเท็จจริงประการอื่น ประกอบกับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 ยังไม่ได้ให้การต่อสู้คดีในส่วนแพ่ง คดีมีทุนทรัพย์สูงและข้อเท็จจริงสลับซับซ้อน
การดำเนินคดีแพ่งต่อไป จะทำให้การพิจารณาคดีอาญาเนิ่นช้าหรือยุ่งยากติดขัด ในชั้นนี้ จึงให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่สั่งรับคำร้องและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับคำร้อง โดยให้ผู้ร้องทั้งสี่ดำเนินการฟ้องคดีแพ่งต่อศาลที่มีอำนาจชำระต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 41 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 6
@สั่งจำคุก‘มนัส’10 ปี-‘สส.บุญยิ่ง-นายกตุ้ย’ 6 ปี 8 เดือน
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 11 ,12 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุก 10 ปี
จำเลยที่ 4 ถึงจำเลยที่ 12 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 11 ,12 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 กระทำกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
ลงโทษจำเลยที่ 4 (บุญยิ่ง นิติกาญจนา) ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 12 (วิวัฒน์ นิติกาญจนา) จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน และลงโทษจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ปรับคนละ 250,000 บาท หากจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
ให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ต่อจากคุกของจำเลยที่ 4 ในคดีอาญา หมายเลขดำที่ อม.อธ.3-4/2560 คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.2-3/2562 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และติดต่อกับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 30/2567 หมายเลขแดงที่ อท 172/2567 ของศาลนี้
ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 และไม่รับคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้องทั้งสี่ โดยให้ผู้ร้องทั้งสี่ดำเนินการฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลที่มีอำนาจชำระ ค่าฤชาชาธรรมเนียมในส่วนแห่งให้เป็นพับ
จากนี้จึงต้องติดตามกันไปต่อว่า การพิจารณาคดีเอื้อประโยชน์กลุ่มธุรกิจของ ‘สส.บุญยิ่ง-นายกตุ้ย-พวก’ ในการประมูล ‘มันเส้นฯ’ กว่า 2 แสนตัน ในชั้นอุทธรณ์ฯ จะมีบทสรุปอย่างไร?
อ่านประกอบ :
- ฉบับเต็ม! คำพิพากษาคดีมันฯ(1) แก้TORเอื้อ‘สส.บุญยิ่ง-นายกตุ้ย-พวก’ก่อนนำขายกิน‘ส่วนต่าง’
- ไขคำพิพากษาคดีมันฯ ศาลสั่ง4 หน่วยงานรัฐฟ้องแพ่ง สส.บุญยิ่ง-นายกฯตุ้ย-พวก ชดใช้ 2 พันล.
- ศาลพิพากษาคดีมันฯ สั่งจำคุก 'นายกฯตุ้ย- สส.บุญยิ่ง'คนละ 6 ปี 8 ด. - 'มนัส' โดน 10 ปี
- จริงหรือ? 'กำนันตุ้ย-บุญยิ่ง'โดนชี้มูลคู่ 'ผัว-เมีย' ถูกยื่นฟ้องคดีมันฯ-เจ้าตัวให้ไปถามศาล
- เบื้องลึก! มติ ป.ป.ช.ชี้มูลคดีทุจริตระบายมันฯ 'บุญยิ่ง' สส.พปชร.โดนด้วย -ลูกสาวรอด
- ไขคำตอบ ‘บุญยิ่ง-วิวัฒน์ ’ต้องพ้นเก้าอี้ สส.-นายก อบจ.หรือไม่ หลังศาลตัดสินจำคุกคดีมันฯ
- 'บุญยิ่ง' โดนอีกคดี! ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ - ช่วงเป็นที่ปรึกษา รมว.พณ.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา