
"...เห็นว่าเป็น นายฮวดที่ติดต่อเข้ามา จึงรับโทรศัพท์ โดยไม่ทราบมาก่อนว่าจะต้องพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน แต่เมื่อตนได้รับโทรศัพท์นายฮวดแล้ว นายฮวดได้แจ้งว่าจะเชิญสมเด็จฮุน เซน เข้ามาร่วมสนทนาด้วยในลักษณะการสนทนาทางโทรศัพท์ร่วม (Conference Call) ตนจึงได้ตัดสินใจตอบรับที่จะสนทนาทางโทรศัพท์ร่วมดังกล่าวแม้จะอยู่เพียงลำพัง เห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พูดคุยกันเพื่อโน้มน้าวสมเด็จฮุน เซน ให้ช่วยเหลือในการร้องขอหรือประสานกับผู้นำรัฐบาลและกองทัพกัมพูชาให้หันหน้าเข้าสู่การเจรจาตามแบบพิธีการระหว่างประเทศเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา..."
กรณี ศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. ในคดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา
หลังภายประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
พร้อมนัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 น. นัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น. เป็นต้นไปนั้น
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำข้อมูลคำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ มาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว 2 ส่วนสำคัญ คือ
(1.) การยืนยันว่า การกระทำของตนเองตามข้อกล่าวหาของผู้ร้อง ไม่เป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการการเมือง พ.ศ. 2564 แต่อย่างใด อีกทั้งการกระทำของตนเองก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งแต่ประการใด พร้อมขอให้ศาลฯ ออกคำสั่งยกเลิกการให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ด้วย
นอกจากนี้ ยังยื่นรายชื่อพยานมา 5 ปาก ประกอบด้วย 1. นายฉัตรชัย บางชวด ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ 2. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย 3. พลเอก ภุชงค์ รัตนวรรณ ข้าราชการบำนาญในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา 4. พลโท พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร ตำแหน่งรองเจ้ากรมพระธรรมนูญทหาร และ 5. นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ อดีตทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น อดีตทูตไทยประจำประเทศฟิลิปปินส์ และอดีตทูตไทยประจำประเทศรัสเซีย เพื่อให้ศาลฯ ได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน โดยคำนึงถึงบริบททางภูมิรัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ดำรงอยู่ต่อเนื่องหลายรัฐบาล (ก่อนที่ศาลฯ จะนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวนแค่ 2 ปาก คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.))
2. ข้อเท็จจริงสำคัญของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเด็น อาทิ การใช้ถ้อยคำว่า "อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้" เป็นเพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญ คือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด
ส่วนถ้อยคำที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น "ฝั่งตรงข้าม" นั้น เป็นใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ความตั้งใจเดียวของตนเองตลอดบทสนทนา เป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วน เรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเองหรือครอบครัวแต่อย่างหนึ่งอย่างใดหรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ

- เบื้องหลัง! เรียก'แพทองธาร-เลขา สมช.'ไต่สวนคดี‘ฮุนเซน’ให้สิทธิโต้แย้ง-ก่อนชี้ชะตา29 ส.ค.
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' ยันไม่ฝ่าฝืนจริยธรรมคดีฮุนเซน ยื่นพยาน 5 ปาก ได้แค่ เลขาฯ สมช.
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' (2) อ้าง ’ฮุนเซน’ ไม่พอใจ เลยต้องบอก ‘มทภ.2’ เป็นฝั่งตรงข้าม
นับจากบรรทัดนี้ไป เป็นรายละเอียดส่วนอื่นๆ ในคำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่เหลืออยู่ โดยแบ่งเป็นหัวข้อสำคัญต่างๆ
โดยเบื้องต้น จะขอนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคำชี้แจงเรื่องมูลเหตุความเป็นมาของเรื่องก่อน ซึ่งมีการระบุถึง นายฮวด คนสนิทสมเด็จฮุน เซน เป็นคนกลางประสานเข้ามาเพื่อเสนอให้ได้มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน และโน้มน้าวให้ใจเย็นลงได้บ้าง สถานการณ์บริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศน่าจะคลี่คลายได้โดยง่ายและเป็นไปโดยราบรื่นมากขึ้น ก่อนที่ฝ่ายกัมพูชาปล่อยคลิปการสนทนาระหว่างตนกับสมเด็จฮุน เซน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ตนเองจึงต้องแถลงการณ์เพื่อขอโทษประชาชน และโทรศัพท์ไปอธิบายข้อเท็จจริงและกล่าวคำขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2

@ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
ปรากฏรายละเอียดดังต่อไปนี้
โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เริ่มต้นชี้แจงข้อมูลส่วนนี้ ด้วยการระบุว่า ก่อนที่จะได้โทรศัพท์พูดคุยกันสมเด็จฮุน เซน ตามที่ปรากฏในคลิปเสียง อันเป็นเหตุของการยื่นคำร้องในเรื่องนี้นั้น
มีข้อเท็จจริงและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้
@ เหตุการณ์ก่อนมีการพูดคุยและเผยแพร่คลิปเสียง
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 ตนเองและกองทัพบกร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมติดตามการทำงานของคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ปชต.) ณ ห้อง จปร. อาคารพิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 05.30 น. ได้เกิดเหตุปะทะบริเวณช่องบก อำเภอนำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากพบทหารกัมพูชาลักลอบก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ละเมิด MOU 43 และเป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการยั่วยุฝ่ายทหารไทย โดยเฉพาะการขุดคูเลต ระยะทาง 650 เมตร เพื่อสร้างจุดตั้งกำลัง โดยการปะทะได้นำไปสู่การเสียชีวิตของทหารกัมพูชา
ทำให้ฝ่ายกัมพูชาอาศัยประเด็นดังกล่าวในการยกระดับสถานการณ์และผลักดันให้ปัญหายกระดันขึ้นไปสู่ระดับสากล
@ ส่งข้อความหารือ ฮุน มาเนต - ย้ำจุดยืนในการใช้การเจรจาผ่าน JBC
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ภายใต้คำแนะนำของฝ่ายความมั่นคง ได้พูดคุยกับ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (นายฮุน มาเนต) ผ่านการส่งข้อความ ถึงสถานการณ์ดังกล่าว และย้ำจุดยืนในการใช้การเจรจาผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย - กัมพูชา Coint Boundary Commission - JBC) โดยใช้สันติวิธี และถอยกำลัง โดยได้รับการตอบรับว่าจะดำเนินการตามที่ฝ่ายเราร้องขอ
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2568 แม้จะเป็นวันหยุดราชการเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา ได้เรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศ ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้การเจรจาในการปรับกำลังเป็นไปตามกรอบทวิภาคี ยืนยันว่าจะมีการหาทางออกผ่านการใช้กระบวนการ JBC และเตรียมร่างแถลงการณ์ฉบันที่ 1 นอกจากนี้ได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่าทางกัมพูชาได้เริ่มมีการดัดแปลงภูมิประเทศ ขุดคูเลตบริเวณต้นสัตยาบรรณ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ฉบับ 1 รวม 2 แผ่น โดยยึดมั่นในหลักการสันติวิธีในการรักษาอธิปไตย ยึดกรอบการตกลงตามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ค.ศ. 2000 (MOU 43) เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและสูญเสีย อีกทั้งได้สั่งการให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรรม เวชยชัย) ไปเจรจากันฝ่ายกลาโหมของกัมพูชา ณ อำเภออรัญประเทศ โดยเสนอให้มีการปรับกำลังเหมือนปี 2567
กล่าวคือให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลังออกจากพื้นที่พิพาท และตึ่งกำลังเหมือนเดิมก่อนที่จะมีการปะทะ
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 รัฐบาลกัมพูชา ออกแถลงการณ์เรื่องการนำเอาพื้นที่พิพาทไปสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - IC.) จึงได้เรียกประชุมกับกระทรวงการต่างประเทศ ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยที่รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อการกระทำของกัมพูชา และเรียกร้องให้กัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ที่มีการอ้างสิทธิ์ทับซ้อน
@ ส่ง 'ภูมิธรรม' พบหน่วยงานกลาโหมกัมพูชา
แถลงการณ์นี้สะท้อนถึงความกังวลของไทยต่อสถานการณ์ที่อาจบานปลาย และเป็นความพยายามที่จะลดระดับความตึงเครียดโดยการเรียกร้องให้มีการถอนกำลัง การเรียกร้องให้ถอนกำลังทหารเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ไทยไม่ต้องการเห็นการใช้กำลังและยังคงยึดมั่นในแนวทางการแก้ไขญหาโดยสันติวิธี อีกทั้งยืนยันว่าประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาจศาลยุติธรรรมระหว่างประเท แต่ควรใช้กลไกทวิภาคี JBC โดยที่ช่วงบ่ายวันนี้ ด้านรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ได้พบกับหน่วยงานกลาโหมของกัมพูชา ซึ่งได้รับรายงานว่ากัมพูชาจะตกลงในกรอบความร่วมมือทวิภาคี JBC พร้อมปรับกำลังกลับไปดังเช่นช่วงปี 2567
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ยืนยันว่า รัฐบาลและกองทัพทำงานเป็นเอกภาพ พร้อมมอบให้หน่วยงานความมั่นคงเสนอ 4 ขั้นตอนควบคุมชายแดน รวมถึงการกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน และมีการแถลงข่าวร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง โดยในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย (นายอันวาร์ อิบราฮิม) ได้โทรศัพท์มาสอบถามถึงสถานการณ์ และเสนอจะใช้กลไกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเถียงใต้ (ASEAN) ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งทุกฝ่ายได้ย้ำถึงการแก้ไขสถานการณ์โดยสันติวิธี
@ เพจกลาโหมกัมพูชารายงานจะไม่ยอมรับในการเจรจา
แต่ในช่วงเย็นวันเดียวกันปรากฏว่ามีเพจของกลาโหมกัมพูชารายงานว่า จะไม่ยอมรับในการเจรจาปรับกำลังพลของทั้งสองฝ่ายบริเวณชายแดนจากการที่ได้มีการพูดคุยกันระหว่างหน่วยงานกลาโหมของทั้งสองฝ่าย แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 เพื่อเป็นการตอนโต้ความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชาที่ไม่ยอมรับการเจรจาปรับกำลังพล ฝ่ายไทยโดยหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่เริ่มกำหนดเวลาในการเปิด-ปิดด่านชายแดน เนื่องจากพบว่าฝ่ายกัมพูชามีอาวุธระยะไกลและอาวุธหนักที่จะทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชนทั้งสองฝ่าย ตลอดจนรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ได้ออกแถลงการณ์ในการยกระดับกำลังพลเพื่อรักษาอธิปไตยไทย และความปลอดภัยของประชาชน
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568 รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์) ได้รายงานผลถึงการเจรจากับพลเอก ญึก บุญชัย ตัวแทนของกัมพูชาว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะปรับกำลังให้กลับไปเป็นดังเช่นปี 2567 ลดการเผชิญหน้าและความขัดแย้งปรับพื้นที่พิพาท รวมถึงคูเลตให้อยู่ในสภาพเดิม โดยที่จะให้มีการเจรจาทวิภาคี JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดี ตนเองได้มีการหารือผ่านข้อความกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา (นายฮุน มาเนต) ในรายละเอียดต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การเจรจาในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 โดยที่ตนและรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ได้แถลงถึงผลสำเร็จดังกล่าวเพื่อให้สถานการณ์ชายแดนของทั้งสองประเทศกลับสู่สถาวะปกติโดยเร็ว โดยที่ตนเองได้ยืนยันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ปะทะกันรุนแรงอย่างแน่นอน
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ในฐานะนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้แก่กำลังพล กองกลังกำลังสุรนารี ณ ฐานปฏิบัติการกองกำลังสุรนารี อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ โดยมีแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ร่วมตรวจเยี่ยมกำลังพลและให้กำลังใจกันเจ้าหน้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วย พร้อมกันนี้ได้ร่วมรับฟังปัญหาในการใช้เส้นทางตรวจการณ์ชายแดน
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ได้เชิญปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายจตุพร บุรุษพัฒน์) และหน่วยงานความมั่นคงอื่น ๆ มาประชุมเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาในเส้นทางตรวจการณ์ชายแดน อันสืบเนื่องมาจากการรับฟังปัญหา ขณะที่มีการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกำลังพลเมื่อวาน เพื่อที่จะสนับสนุนทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่สะดวกยิ่งขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและทางกองทัพตลอดจนเอกภาพในการทำงานร่วมกัน
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ข้าพเจ้าได้ไปประชุมร่วมกับเอกอัครทูตไทยทั่วโลก เพื่อให้ช่วยย้ำจุดยืนของไทยต่อนานาอารยประเทศ และมุ่งหน้าสู่การเจรจาทวิภาคี IBC ที่จะมีขึ้นในวันขึ้น
@ ฮุน เซน แถลงจุดยืนกดดันไทยเปิดด่านผ่านแดนทั้งหมด
แต่ต่อมาในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 สมเด็จฮุน เซน กลับแถลงถึงจุดยืนหลังจากการประชุมJBC เพื่อกดดันให้ไทยเปิดด่านผ่านแดนทั้งหมด รวมทั้งตอบโต้ในการห้ามนำสินค้า น้ำมัน และเรียกแรงงานชาวกัมพูชากลับจากไทย โดยจุดยืนดังกล่าวไม่สอดคล้องกับผลการประชุม JBC ซึ่งได้มีการตกลงกันไว้ แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจ และถือได้ว่าเป็นการยั่วยุประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 เพื่อเป็นการตอบโต้แถลงการณ์ของสมเด็จฮุน เซน รัฐบาล ชี้แจงว่าไม่มีนโยบายผลักดันแรงงานต่างด้าวประเทศใดออกนอกประเทศ พร้อมทั้งแถลงผลประชุม JBC ว่า กัมพูชาอยากผลักดันประเด็นพื้นที่พิพาท 4 จุดเข้าสู่กระบวนการ ICJ และไทยย้ำว่าไทยไม่ได้ยอมรับแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 (แถลงการณ์ของกัมพูชาหลังจากการประชุม JBC ไม่ตรงกันข้อเท็จจริงในที่ประชุม)

@ นายฮวด คนสนิท ฮุน เซน ประสานขอเข้าพบ
ช่วงบ่ายได้มีการนัดประชุมมาตรการตอบโต้ของกัมพูชากับรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ขณะเดียวกัน นายฮวด คนสนิทของสมเด็จฮุน เซน ได้ประสานขอเข้าพบเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดน
ตนได้หารือกับเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้วเห็นว่าเห็นสมควรให้นายฮวดเข้าพบเพื่อพูดคุยรับทรานสถานการณ์ข้อเท็จจริงที่อาจเป็นประโยชน์ ดังนั้น ตนเองพร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดข) จึงให้นายฮวดเข้าพบเพื่อพูดคุยรับทราบสถานการณ์
@ ฮุน เซน ไม่พอใจกองทัพภาคที่ 2
โดยนายฮวดพยายามให้ข้อมูลว่าการที่สมเด็จฮุน เซน แถลงจุดยืนที่ไม่สอดดคล้องกับผลการประชุม JBC เมื่อวานนี้ เป็นผลมาจากความไม่พอใจที่กองทัพภาคที่ 2 มีการกำหนดเวลาเปิด-ปิดชายแดนแต่เพียงฝ่ายเดียว และไม่พอใจแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อสารมวลชนในหลายประเด็น
พร้อมกันนี้นายฮวดเสนอว่า หากตนได้มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน และโน้มน้าวให้ใจเย็นลงได้บ้าง สถานการณ์บริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศน่าจะคลี่คลายได้โดยง่ายและเป็นไปโดยราบรื่นมากขึ้น
ในเวลาต่อมา นายฮวดได้แสดงเจตนาว่าจะประสานกับสมเด็จฮุน เซน เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และเป็นผู้ริเริ่มติดต่อจากโทรศัพท์มือถือของตนเอง
ตนไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มหรือเสนอให้มีการสนทนา แต่เป็นการตอนรับสถานการณ์เฉพาะหน้าในฐานะนายกรัฐมนตรีซึ่งต้องพยายามใช้ทุกโอกาสในการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ
@ ประสานงานครั้งแรก ฮุน เซน ไม่รับโทรศัพท์
ทั้งนี้ ตนเองพร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) อยู่ร่วมกันตลอดช่วงเวลาที่นายฮวดพยายามติดต่อกับสมเด็จฮุน เซนเพื่อเจรจาคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดน
แต่ไม่ได้มีการพูดคุยกัน เนื่องจากสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้รับโทรศัพท์
ตนเองและคณะจึงปิดประชุมและต่างแยกย้ายกันไปเพื่อเตรียมตัวสำหรับการประชุมไนวันพรุ่งนี้
@ นายฮวด โทรหาอีกครั้ง ต่อสายให้คุย ฮุน เซน
อย่างไรก็ดี ในช่วงเย็นวันดังกล่าวหลังตนเองแยกย้ายกับคณะทำงานและอยู่เพียงลำพัง นายฮวดได้ติดต่อทางโทรศัพท์กลับมายังตนเอง
เห็นว่าเป็นนายฮวดที่ติดต่อเข้ามา จึงรับโทรศัพท์
โดยไม่ทราบมาก่อนว่าจะต้องพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน แต่เมื่อได้รับโทรศัพท์นายฮวดแล้ว นายฮวดได้แจ้งว่าจะเชิญสมเด็จฮุน เซน เข้ามาร่วมสนทนาด้วยในลักษณะการสนทนาทางโทรศัพท์ร่วม (Conference Call)
@ ตัดสินใจคุย แม้อยู่เพียงลำพัง
ตนจึงได้ตัดสินใจตอบรับที่จะสนทนาทางโทรศัพท์ร่วมดังกล่าวแม้จะอยู่เพียงลำพัง แต่เห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พูดคุยกันเพื่อโน้มน้าวสมเด็จฮุน เซน ให้ช่วยเหลือในการร้องขอหรือประสานกับผู้นำรัฐบาลและกองทัพกัมพูชาให้หันหน้าเข้าสู่การเจรจาตามแบบพิธีการระหว่างประเทศเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
นอกจากนี้ ยังได้มีการคุยผ่านข้อความกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา (นายฮุน มาเนต) เพื่อสรุปมาตรการต่าง ๆ หลังจากการประชุม JBC โดยจะให้มีการประชุมกับหน่วยงานความมั่นคงในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 เพื่อตัดสินใจในมาตรการต่าง ๆ ต่อไป
@ เหตุการณ์หลังการพูดคุยและการเผยแพร่คลิปเสียง
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการเกี่ยวกันปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ดังนี้
(1) เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงกลุ่มเล็กติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ บ้านพิษณุโลก โดยเน้นย้ำว่ารัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพไม่ยอมให้บุคคลใดข่มขู่ และจะตั้งทีมงานปกป้องและตั้งรับ รวมถึงรวบรวมข้อมูลว่าสามารถปกป้องและตอบโต้ได้อย่างไรบ้าง
นอกจากนี้ในระหว่างการประชุมซึ่งมีผู้บริหารระดับสูงของหลายหน่วยงานเข้าร่วม อาทิ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตนได้นำสาระสำคัญของการสนทนาทางโทรศัพท์กับสมเด็จฮุน เซน เมื่อวาน พร้อมด้วยเงื่อนไขที่สมเด็จฮุน เซน เรียกร้อง มาแจ้งต่อที่ประชุมเพื่อหารือร่วมกันภายในที่ประชุม
2. ตั้ง "ทีมไทยแลนด์" ติดตามกรณีที่กัมพูชายื่นเรื่องร้องเรียนต่อศาลโลกเพื่อติดตามข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ และส่งข้อความถึงนายกรัฐมนตรีกัมพูชา (นายฮุน มาเนต) ขอเปิดประชุมทวิภาคีหารือเรื่องการเปิดด่านชายแดน
@ โทรศัพท์อธิบายข้อเท็จจริง-กล่าวคำขอโทษแม่ทัพภาคที่ 2
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ด้วยเหตุความไม่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ทำให้ฝ่ายกัมพูชาปล่อยคลิปการสนทนาระหว่างตนกับสมเด็จฮุน เซน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ตามที่ผู้ร้องกล่าวหา จึงต้องแถลงการณ์เพื่อขอโทษประชาชน และโทรศัพท์ไปอธิบายข้อเท็จจริงและกล่าวคำขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2

โดยทางแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งมีความเข้าใจในสถานการณ์การเจรจากับทางกัมพูชายืนยันว่าไม่ติดใจกับกรณีดังกล่าว
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 แม้ฝ่ายกัมพูชาจะปล่อยคลิปการสนทนาดังกล่าวข้างต้น ในฐานะนายกรัฐมนตรี ยังคงร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระดับสูง เรื่อง สถานการณ์ไทย-กัมพูชา และได้ร่วมกันแถลงต่อสื่อมวลชนเพื่อแสดงถึงความเป็นเอกภาพในการแก้ไขปัญหาระหว่างตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรีกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระดับสูงทั้งทหารและตำรวจ และย้ำว่าการกระทำของทางกัมพูชาถือเป็นภัยความมั่นคงต่อชาติ
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ตนเองในฐานะนายกรัฐมนตรี พร้อมแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) พบปะกำลังพลกองกำลังสุรนารีและมอบสิ่งของบำรุงขวัญ ณ ฐานปฏิบัติการมรกต อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี

@ พลโท บุญสิน พาดกลาง
เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 แม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาคกลาง) ยืนยันไม่ติดไม่ติดใจเกี่ยวกันคำพูดของข้าพเจ้าที่ปรากฏตามคลิปเสียง ไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจกัน (เคลียร์ใจ) ยืนยันไม่ได้ขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรี ส่วนกรณีข่าวความขัดแย้งระหว่างตนเองกับแม่ทัพภาค 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ก็เป็นเพียงความเข้าใจผิดและได้มีการชี้แจงและกล่าวคำขอโทษต่อกันแล้ว ไม่มีผลกระทบต่อการทำงทำงานของกองทัพแต่อย่างใด
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของกัมพูชาอย่างรุนแรง และเรียกร้องให้มีการประชุม JBC โดยเร่งด่วน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพยายามของไทยที่จะกลับไปใช้กลไกการเจรจาที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนโดยเฉพาะ การที่ไทยยังคงผลักดันการเจรจาผ่าน JBC แม้จะมีการรุกล้ำซ้ำซ้อน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในกระบวนการทวิภาคี และความปรารถนาที่จะหาทางออกที่ยังยืนอย่างสันติวิธีผ่านช่องทางที่กำหนดไว้
ตนเองพร้อมแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ร่วมกันปฏิบัติงานเพื่อยกระดับมาตรการชายแดนไทย-กัมพูชา หากในอนาคตต้องมีการสู้รบกัน จะต้องปิดด่านตลอดแนว ขอให้คนไทยมีความสามัคคีในห้วงประเทศมีวิกฤต ขอให้มั่นใจว่าทหารอยู่เคียงข้างประชาชน ชายแดนไทยมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน
ต่อมาแม่ทัพภาคที่ 1 (พลโท อมฤต บุญสยา) ได้เผยแพร่คำสั่งกองทัพภาคที่ 1 เรื่องสั่งปิดด่านชายแดนไทย - กัมพูชาทั้งหมด ยกเว้นกรณีจำเป็นด้านมนุษยธรรม เช่น ผู้ป่วยและนักเรียนที่ต้องเดินทางข้ามแดนเพื่อการรักษาพยาบาลหรือการศึกษาซึ่งต้องขออนุญาตเป็นกรณีเฉพาะ โดยระบุถึงความจำเป็นในการควบคุมการเคลื่อนไหวข้ามแดนที่ผิดกฎหมาย รวมถึงการแอบแฝงของเครือข่ายหลอกลวงทางไซเบอร์ (Call Center และ Hybrid Scam) มาตรการนี้ห้ามการเดินทางเข้า - ออกของยานพาหนะทุกประเภท ห้ามประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางเข้า - ออก และห้ามการค้าขายทุกประเภท
**********
ข้อมูลส่วนนี้ ยังไม่จบ ยังมีรายละเอียดคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อศาลรัฐธรรมนูญ แบ่งเป็นการเจรจาระหว่างประเทศ ข้อความในบทสนทนา ที่ผู้ร้องเห็นว่าไม่เหมาะสม อาทิ การใช้คำว่า "uncle" (คุณลุง) การเรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า "ฝั่งตรงข้าม" ด้วย
โปรดติดตามตอนต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา