
"...เมื่อคํานึงถึงความเป็นสัดส่วนในความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดปฏิบัติหน้าที่ ของข้าพเจ้าตามที่กล่าวมา หากข้าพเจ้ายังคงปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของ ประเทศชาติและอธิปไตยของชาติ อีกทั้งสามารถปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะบูรณาการเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายให้สนับสนุนการทําหน้าที่ของฝ่ายทหารและแสดงถึงความเข้มแข็งภายในชาติ ซึ่งส่งผลเชิงจิตวิทยาแก่กัมพูชาในการรุกรานประเทศไทย..."
ข้อมูลยังไม่จบ ยังมีรายละเอียดคำชี้แจงเรื่องพันธกิจร่วมของศาลรัฐธรรมนูญและนายกรัฐมนตรีในการธํารงรักษาหลักนิติธรรม กรณีที่ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย เมื่อคํานึงถึงสถานการณ์ของประเทศชาติเวลานี้ และ จริยธรรมของข้าราชการการเมือง ที่ น.ส.แพทองธาร นำมาใช้ประกอบการชี้แจงต่อ ศาลรัฐธรรมนูญอีก
คือ ประเด็นสำคัญที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ทิ้งท้ายไว้ในตอนที่แล้วเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลคำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อต่อสู้คดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา หลังภายประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. พร้อมนัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 น. นัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

- เบื้องหลัง! เรียก'แพทองธาร-เลขา สมช.'ไต่สวนคดี‘ฮุนเซน’ให้สิทธิโต้แย้ง-ก่อนชี้ชะตา29 ส.ค.
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' ยันไม่ฝ่าฝืนจริยธรรมคดีฮุนเซน ยื่นพยาน 5 ปาก ได้แค่ เลขาฯ สมช.
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' (2) อ้าง ’ฮุนเซน’ ไม่พอใจ เลยต้องบอก ‘มทภ.2’ เป็นฝั่งตรงข้าม
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' (3) อ้าง 'ฮวด' โทรหาก่อน ตัดสินใจคุย 'ฮุน เซน' แม้อยู่เพียงลำพัง
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร'(4) ยก 8 ประเด็นสู้ อ้าง'สว.'ใช้สิทธิ์ไม่สุจริต-พรรคการเมืองครอบงำ
ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดข้อมูลส่วนที่ทิ้งท้ายไว้ข้างต้น ซึ่งมีประเด็นสำคัญอยู่ที่ น.ส.แพทองธาร ยืนยันว่าเหตุที่ต้องมีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ก็เพื่อต้องการรักษาความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยบริเวณแนวชายแดน ไม่ได้เป็นไปเพื่อเอื้อ ประโยชน์ใดให้แก่ประเทศกัมพูชาหรือสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้ก่อให้เกิดผลผูกพันตามกฎหมายใด ๆ ต่อประเทศ จึงไม่ได้ทําให้ประเทศต้องได้รับความเสียหายแต่อย่างใด พร้อมวิงวอนต่อศาลฯ โปรดพิจารณามีคําสั่งยกเลิกการสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและอธิปไตยของชาติ อีกทั้งสามารถปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะบูรณาการเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายให้สนับสนุนการทําหน้าที่ของฝ่ายทหารและแสดงถึงความเข้มแข็งภายในชาติ ซึ่งส่งผลเชิงจิตวิทยาแก่กัมพูชาในการรุกรานประเทศไทยด้วย
มีเนื้อหาสำคัญดังนี้
@ พันธกิจร่วมของศาลรัฐธรรมนูญและนายกรัฐมนตรีในการธํารงรักษาหลักนิติธรรม
น.ส.แพทองธาร ระบุในคำชี้แจงว่า ข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่า ทั้งนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารของประเทศ และตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญในฐานะผู้ใช้อํานาจตุลาการ ต่างมีพันธะในการดํารงตนอยู่ภายใต้กรอบจริยธรรมเดียวกัน ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งในข้อ 12 แห่ง มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ซึ่งกําหนดให้บุคคลดังกล่าวต้องยึดมั่นและปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด
1. หลักนิติธรรมถือเป็นรากฐานสําคัญของระบอบประชาธิปไตย และเป็นหลักการที่ทุก องค์กรของรัฐต้องยึดถือร่วมกัน โดยมีสาระสําคัญที่เชื่อมโยงกับสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นธรรมในสังคม
2. ขอบเขตของการพิจารณาพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบภายใต้กรอบของหลักนิติธรรม ข้าพเจ้าขอเรียนเสนอด้วยความเคารพว่า การพิจารณารับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ เช่น การดักฟัง ข้อมูลการสนทนาโดยไม่มีคําสั่งศาล หรือปราศจากความยินยอมของคู่สนทนา ถือเป็นการละเมิดสิทธิ ส่วนบุคคลและขัดต่อหลักที่รัฐมีพันธะต้องธํารงรักษา การยอมรับพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมส่งผลกระทบต่อความชอบธรรมของกระบวนการยุติธรรม และบ่อนทําลายความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อ ระบบกฎหมายโดยรวม ซึ่งเป็ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงเกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตยที่ยึดถือหลักนิติธรรม
3.แนวคําพิพากษาที่เกี่ยวข้อง แนวคําพิพากษาศาลฎีกาได้วางหลักไว้ชัดเจนว่า “พยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบ ย่อมไม่อาจรับฟังได้ในกระบวนการยุติธรรม” หลักการนี้ไม่เพียงเป็น แนวทางปฏิบัติในทางกฎหมาย หากยังสะท้อนถึงการเคารพในสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการยืนหยัดใน หลักการที่ว่าความยุติธรรมต้องเกิดจากวิธีการที่ชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีปัจจุบัน ซึ่งเป็นการพิจารณา ความผิดทางจริยธรรมซึ่งมีมาตรฐานที่สูงกว่ากฎหมายทั่วไป อีกทั้งพฤติการณ์แห่งการกระทําความผิดยังไม่ปรากฏชัดเจน การนําพยานหลักฐานที่แม้ในคดีอาญายังไม่อาจรับฟังได้มาใช้ในกระบวนการพิจารณาทางจริยธรรมอาจไม่สอดคล้องกับหลักความเหมาะสม และขัดต่อหลักนิติธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกฝ่ายพึงเคารพ
@ กรณีที่ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ข้าพเจ้าหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย
ผู้ถูกร้องขอประทานกราบเรียนต่อศาลว่า เมื่อคํานึงถึงสถานการณ์ของประเทศชาติเวลานี้ ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองล้วนเป็นภาวะที่ประเทศไทยต้องเร่งแก้ปัญหาหลายเรื่องที่มีความสําคัญยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดน สถานการณ์การเจรจาเรื่องการค้ากับประเทศที่เป็นคู่ค้าสําคัญ และเป็นปัญหาระดับโลก สถานการณ์ข้อพิพาท และการใช้กําลังตอบโต้กันระหว่างประเทศในหลายภูมิภาค ของโลกที่ส่งผลกระทบต่อพลเมืองไทยที่อาศัยหรือไปทํางานอยู่ในประเทศเหล่านั้น รวมถึงการแก้ไขผลกระทบ ที่อาจถูกต้องถึงประเทศไทยในด้านอื่นๆด้วย เมื่อคํานึงถึงสัดส่วนความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น หากผู้ถูกร้อง ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีได้ต่อไปตามคําขอของผู้ร้อง เป็นที่แน่ชัดว่าย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการบริหารราชการแผ่นดิน และแสดงถึงการขาดเสถียรภาพทางการเมืองภายในชาติ รวมถึงการกําหนดท่าที ความชัดเจนทางนโยบาย และโอกาสในการต่อรองเพื่อรักษาประโยชน์ของประเทศที่จะผันแปรไป การที่ผู้ถูก ร้องจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อไปอย่างต่อเนื่องร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมุ่งมั่นเดินหน้าเพื่อแก้ปัญหาของบ้านเมืองโดยไม่มีการชะงักงันหรือเกิดความลังเลในการปฏิบัติราชการแผ่นดิน ย่อมเป็นประเด็นสําคัญและเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจมองข้ามได้
ข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่า เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริง สถานการณ์ และการดําเนินการต่าง ๆ ของ ข้าพเจ้าตามที่ได้กราบเรียนประกอบกับข้อความการสนทนาในคลิปเสียงดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่า ข้าพเจ้าให้ความสําคัญต่อปัญหาข้อพิพาทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา และได้ติดตามการแก้ไขปัญหา ดังกล่าว โดยตลอด โดยมีการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับทหารและฝ่ายความมั่นคงอย่างเป็นเอกภาพ สาระสําคัญใน คลิปเสียง คงมีเพียงการพูดคุยระหว่างข้าพเจ้ากับสมเด็จฮุน เซน เกี่ยวกับปัญหาตามแนวชายแดนระหว่างไทย กับกัมพูชา ในฐานะที่ข้าพเจ้ากับสมเด็จฮุน เซน รู้จักกันมาก่อน โดยมีเจตนาเพื่อต้องการลดการเผชิญหน้าและ ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น อันจะนํามาซึ่งความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย ข้าพเจ้าไม่ได้มีการกระทําใดและไม่มี เจตนาที่จะทําให้ประเทศต้องเสียเกียรติภูมิหรือผลประโยชน์ของชาติหรือทําให้กระทบต่อเอกราชอธิปไตยบูรณภาพแห่งอาณาเขตที่ประเทศมีสิทธิอธิปไตยแต่ประการใด
และเหตุที่ต้องมีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ก็เพื่อต้องการรักษาความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยบริเวณแนวชายแดน ไม่ได้เป็นไปเพื่อเอื้อ ประโยชน์ใดให้แก่ประเทศกัมพูชาหรือสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้ก่อให้เกิดผลผูกพันตามกฎหมายใด ๆ ต่อประเทศ จึงไม่ได้ทําให้ประเทศต้องได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
นอกจากนี้เพียงการสนทนาพูดคุยดังกล่าวก็ไม่ได้มีข้อเท็จจริงอันจะถือว่าข้าพเจ้าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์แต่อย่างใด

ในทางกลับกันตลอดระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินที่ผ่านมาข้าพเจ้าในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและคณะรัฐมนตรีได้บริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ เปิดเผย และมีความ รอบคอบระมัดระวังในการดําเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและความผาสุกของประชาชนส่วนรวมมาตลอด กรณีจึงไม่มีข้อเท็จจริงใดเลยว่าข้าพเจ้าได้กระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญตามที่ผู้ร้องได้กล่าวอ้าง ส่วนที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าข้าพเจ้ากระทําการอันเป็นความผิดต่อความมั่นคง ของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามหมวด 2 และความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักรตามหมวด 3.แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น ก็เป็นการกล่าวอ้างที่เกินจริง ปราศจากข้อเท็จจริงรองรับอย่างชัดแจ้ง
ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าข้าพเจ้ากระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงอันเนื่องมาจากข้อความในคลิปการสนทนานั้น ข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่า เมื่อพิจารณา เจตนา ของข้าพเจ้าในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ก็จะเข้าใจได้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้กระทําการใด ๆ อันถือว่า เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการ ของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อใดทั้งสิ้น
กล่าวคือ ข้าพเจ้ายึดมั่นและธํารงไว้ซึ่ง การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าได้พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่ง อาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐและ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน ข้าพเจ้าถือผลประโยชน์ประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน โดยการ เจรจากับสมเด็จฮุน เซน ก็มิได้ทําให้ประเทศต้องเสียผลประโยชน์ใด ๆ การปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าก็เป็นไป ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตลอดมาตามที่ได้กราบเรียนไว้ข้างต้นแล้ว นอกจากนี้ การสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ก็ไม่ได้ทําให้การกระทําของข้าพเจ้าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมข้อใด ๆ
สําหรับถ้อยคําสนทนาที่มีการพูดถึงแม่ทัพภาคที่ 2 นั้น ข้าพเจ้าก็ได้แถลงผ่านสื่อมวลชน อย่างเป็นทางการถึงเจตนาอันแท้จริงและได้เข้าพบแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อทําความเข้าใจ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 2 ก็มิได้ ติดใจในคําพูดของข้าพเจ้าแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็มิได้สร้างความแตกแยกของคนในชาติหรือแสดงให้เห็น ว่าข้าพเจ้ากระทําการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงแต่อย่างใด เช่นกัน
@ จริยธรรมของข้าราชการการเมือง
ข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่า ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ตระหนักและยึดถือแนวทางการ ปฏิบัติตนตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 โดยเคร่งครัด หาเคยฝ่าฝืนหรือละเมิดการประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมของข้าราชการการเมืองแต่อย่างใดไม่ ยิ่งไปกว่านั้นโดยพฤติการณ์ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ดําเนินการในฐานะนายกรัฐมนตรีกลับเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการธํารงรักษาผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของประเทศ และการยึดมั่นในหลักความเหมาะสมของผู้ดํารงตําแหน่งทาง การเมืองตามที่บัญญัติไว้ในประมวลจริยธรรมดังกล่าว
โดยขอชี้แจงในรายละเอียด ดังนี้
ประการแรก ข้าพเจ้ามิได้กระทําการใดอันจะถือเป็นการฝ่าฝืนข้อ 4 (1) แห่งประมวล จริยธรรมซึ่งบัญญัติให้ข้าราชการการเมืองต้องปกป้อง ดูแล และยึดถือประโยชน์ของชาติเป็นสําคัญ พิทักษ์ รักษาไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยของชาติและไม่ประพฤติตนอันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่โดยเคร่งครัดต่อภารกิจแห่งรัฐในการธํารงไว้ ซึ่งความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน ด้วยการใช้แนวทางทางการทูตควบคู่กับการวางกําลังของเจ้าหน้าที่ฝ่ายของชาติ โดยข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า ความมั่นคง มิได้มีพฤติการณ์ใดอันเป็นการละเลยต่ออํานาจอธิปไตยของชาติหรือบั่นทอนเกียรติภูมิของ ประเทศแม้แต่น้อย หากแต่เป็นการพยายามแสวงหาความร่วมมือในระดับภูมิภาคภายใต้หลักการแห่งความ เคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งถือเป็นการดํารงเกียรติของชาติในอีกมิติหนึ่ง
ประการที่สอง ข้าพเจ้ามิได้มีพฤติการณ์อันจะเป็นการฝ่าฝืนข้อ 5 วรรคหนึ่ง (1) และ (6) ซึ่งบัญญัติให้ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อรับใช้ประเทศชาติและประชาชนอย่างเต็มความสามารถและไม่กระทําการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ง
โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่าข้าพเจ้าได้บูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานด้านการต่างประเทศและฝ่ายความมั่นคงอย่างใกล้ชิดและ ต่อเนื่อง มีการประชุมหารืออย่างเป็นทางการเพื่อวางแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สมดุลและรอบคอบ ตลอดจนมีการกํากับการสื่อสารของรัฐต่อประชาชนอย่างมีเอกภาพ จึงไม่มีการกระทําข้อใดตามข้อกล่าวหาของผู้ร้องที่ข้าพเจ้าได้ประพฤติตนอันเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์แห่งตําแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือบกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและเต็มกําลัง
ประการที่สาม ข้าพเจ้ามิได้มีพฤติการณ์ขัดกับข้อ 7 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ซึ่งกําหนดให้ ข้าราชการการเมืองต้องถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสิ่งสูงสุด และไม่กระทําการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม โดยข้าพเจ้ามิได้แสวงหาผลประโยชน์ในทาง ส่วนตัวจากการพูดคุยหรือเจรจากับบุคคลใดในต่างประเทศ ตรงกันข้าม กลับเป็นการกระทําที่มุ่งประโยชน์ของ รัฐไทยในการลดความตึงเครียดและหลีกเลี่ยงความรุนแรงในเขตแดนเป็นสําคัญ
ประการสุดท้าย ข้าพเจ้ายังคงปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับข้อ 9 และข้อ 10 ซึ่งบัญญัติว่า ข้าราชการการเมืองต้องดํารงตนเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม ปฏิบัติตามกฎหมาย และวางตนให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชน โดยพฤติการณ์ตลอดเวลาของข้าพเจ้าในการบริหารราชการแผ่นดินนั้น สะท้อนให้เห็นถึง ความรับผิดชอบ ความอดทน การแสดงออกที่เหมาะสมต่อสาธารณะ ตลอดจนการตัดสินใจบนพื้นฐานของ ข้อมูลที่รอบด้านและปรึกษาหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม

@ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น การกระทําของข้าพเจ้าตามข้อกล่าวหาของผู้ร้องจึงไม่เป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 แต่อย่างใด อีกทั้งการกระทําของ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตําแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของ ประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดํารงตําแหน่งของข้าพเจ้าแต่ประการใด
@ วิงวอนต่อศาลฯ โปรดพิจารณามีคําสั่งยกเลิกการสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี
น.ส.แพทองธาร ยังได้ระบุช่วงท้ายคำชี้แจงว่า เพื่อให้การพิจารณาคดีมีความครบถ้วน รอบด้าน และเป็นธรรม โดยปราศจากข้อสงสัยอันอาจกระทบต่อความชอบธรรมและสถานะ ของข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศดังนั้น เมื่อคํานึงถึงความเป็นสัดส่วนในความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดปฏิบัติหน้าที่ ของข้าพเจ้าตามที่กล่าวมา หากข้าพเจ้ายังคงปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของ ประเทศชาติและอธิปไตยของชาติ อีกทั้งสามารถปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะบูรณาการเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายให้สนับสนุนการทําหน้าที่ของฝ่ายทหารและแสดงถึงความเข้มแข็งภายในชาติ ซึ่งส่งผลเชิงจิตวิทยาแก่กัมพูชาในการรุกรานประเทศไทย
ผู้ถูกร้องจึงขอศาลมีคําสั่งยกเลิกมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ตามที่ผู้ร้องมีคําขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย ทั้งนี้ การยกเลิกคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเพื่อให้ผู้ถูกร้องสามารถปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไปพลางจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย
จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ดังนี้
ข้อ 1. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โปรดนําาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน รวมถึงพยานบุคคลทั้ง ห้าซึ่งเป็นพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิอันเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ (ตามข้อ 6) ตามคําร้องของผู้ถูกร้องเข้าสู่กระบวน พิจารณาเพื่อประกอบการพิจารณาคดีและการไต่สวนของศาลในการพิจารณาและมีคําวินิจฉัยตามข้อกําหนด ศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562 ข้อ 4 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 27 ที่กําหนดให้การพิจารณาคดีให้ใช้ระบบไต่สวน โดยให้ศาลมีอํานาจค้นหาความจริงไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ และในการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้ทุกประเภท
ข้อ 2. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โปรดพิจารณามีคําสั่งยกเลิกมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561มาตรา 71 ตามที่ผู้ร้องมีคําขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะ มีคําวินิจฉัย ทั้งนี้การยกเลิกคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเพื่อให้ผู้ถูกร้องสามารถปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไปพลางจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย
*****************
ทั้งหมดนี้ คือ รายละเอียดข้อมูลคำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ คดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบทั้งหมด และนำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะกำหนดนัดไต่สวน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มาให้ปากคำในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 พร้อมนัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 น. นัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป
นับเป็นอีกหนึ่งคคีการเมืองสำคัญ ที่จะชี้ชะตา ของ น.ส.แพทองธาร ว่าจะได้อยู่ต่อหรือไปจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
อดใจรออีกไม่นาน ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ทุกอย่างจะมีคำตอบที่ชัดเจน!

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา