
“…ปัญหาในการร้องเรียนครั้งนี้เกิดขึ้นในขั้นตอนการอนุมัติรายชื่อฯ หรือ Name List โดยมีการกล่าวหาว่า มีขบวนการเรียกรับเงินจากนายจ้างและแรงงานต่างด้าว โดยแรงงานต่างด้าวหรือนายจ้างต้องจ่ายเงินค่าอนุมัติ Name List จำนวน 2,500 บาท ต่อแรงงานกัมพูชา 1 คน หากไม่จ่ายระบบจะไม่อนุมัติ…”
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 4/2568 มีมติรับกรณีเรียกรับเงินเพื่อต่อใบอนุญาตทำงานแรงงานกัมพูชาเป็นคดีพิเศษ ให้เป็นคดีความผิดทางอาญาอื่น เกี่ยวกับการกระทำความผิดของชาวไทยและชาวต่างชาติร่วมกันกระทำเป็นขบวนการหลอกลวงหรือกระทำด้วยวิธีการอื่นใด โดยเรียกรับเงินจากนายจ้างและแรงงานต่างด้าว เพื่อให้ได้รับการต่อใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยอันมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 สำหรับแรงงานชาวกัมพูชาเป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ เบื้องต้นมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงานกัมพูชา รวมถึงนายหน้าบริษัทจัดหางานเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการ และอาจจะโยงไปถึงอดีตรัฐมนตรีในฐานะเป็นผู้ออกนโยบาย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องประกอบ :
- ‘กคพ.’ มีมติรับเป็น ‘คดีพิเศษ’ ขบวนการหลอกลวงเรียกเงิน ‘หัวคิวแรงงานกัมพูชา’
- ‘ภูมิธรรม’ ถก ‘กคพ.’ ปม ‘หัวคิวแรงงานกัมพูชา’ สะพัด โยง ‘อดีตรัฐมนตรี’
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ขอนำผลการสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นที่นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ กคพ. พิจารณาก่อนรับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งแสดงการพิเคราะห์ลักษณะการกระทำความผิดของขบวนการหักหัวคิวแรงงานกัมพูชา โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

จากการสืบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษพบว่า ในกระบวนการต่อใบอนุญาตทำงานตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567
สำหรับสัญชาติเมียนมา ลาว และเวียดนาม ดำเนินการไม่สำเร็จและไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากทางประเทศทั้งสามไม่รับดำเนินการตามประกาศฉบับนี้ คงมีดำเนินการเฉพาะประเทศกัมพูชาเท่านั้น โดยทำผ่านระบบที่ชื่อ https://cam.doe.go.th โดยตัวแรงงานไม่ต้องเดินทางกลับประเทศของตนเองก่อน
วิธีการเริ่มจากการที่นายจ้างหรือบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ ยื่นบัญชีรายชื่อความต้องการจ้างคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาตามมติ ครม. วันที่ 24 กันยายน 2567 ที่ใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 และต้องการจะต่อใบอนุญาตทำงานผ่านระบบดังกล่าว แล้วรอให้ระบบอนุมัติรายชื่อ จากนั้นก็นำตัวแรงงานไปตรวจสุขภาพ ทำประกันสุขภาพ และดำเนินการ ในส่วนต่อๆไปจนเสร็จสิ้น
ปัญหาในการร้องเรียนครั้งนี้เกิดขึ้นในขั้นตอนการอนุมัติรายชื่อฯ หรือ Name List โดยมีการกล่าวหาว่า มีขบวนการเรียกรับเงินจากนายจ้างและแรงงานต่างด้าว โดยแรงงานต่างด้าวหรือนายจ้างต้องจ่ายเงินค่าอนุมัติ Name List จำนวน 2,500 บาท ต่อแรงงานกัมพูชา 1 คน หากไม่จ่ายระบบจะไม่อนุมัติ
จากการสอบสวนบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศหลายราย และเจ้าของบัญชีผู้โอนเงินข้างต้น ยืนยันตรงกันว่าได้จ่ายเงินเป็นค่าอนุมัติ Name List จริง ในอัตรา 2,500 บาท หรือ 2,550 บาท เข้าบัญชีของคนต่างด้าวหลายบัญชี เมื่อจ่ายแล้วจะได้รับการอนุมัติ Name List โดยไว ไม่เกิน 2-3 วัน หากไม่จ่ายระบบจะไม่อนุมัติ ซึ่งค่าอนุมัติ Name List นี้ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการโอนให้กับบริษัทจัดหางาน (Agency) ของประเทศกัมพูชา ผ่านบัญชีคนต่างด้าวตามตัวอย่างข้างต้นเพื่อให้บริษัท Agency แล้วทางกัมพูชาจึงจะอนุมัติ Name List ให้
แต่จากการชี้แจงของอธิบดีกรมการจัดหางาน ต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร และถ้อยคำของนายจำนงค์ ทรงเคารพ ผู้อำนวยการสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวต่อคณะพนักงานสืบสวน ยืนยันตรงกันว่า การต่อใบอนุญาตทำงานตามประกาศฉบับนี้ ไม่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องของบริษัท Agency หรือ ค่าอนุมัติ Name List แต่อย่างใด

@ พิเคราะห์ลักษณะการกระทำผิด
พิเคราะห์ลักษณะของการกระทำผิดแล้วเห็นว่า นายจ้างหรือตัวแรงงานต่างด้าวมีการจ่ายเงินค่าอนุมัติ Name List สำหรับการต่อใบอนุญาตทำงานแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 หัวละ 2,500 บาท หรือมากกว่าเป็นความจริง
แต่ผู้ที่ได้รับเงินในลำดับสุดท้ายปลายทาง ในจำนวนมาก ๆ กลับเป็นคณะบุคคลทั้งไทยและกัมพูชา โดยที่ไม่มีประกาศ ระเบียบ หรือกฎหมายใดกำหนดว่า ต้องมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ แต่หากไม่จ่าย ระบบก็จะไม่อนุมัติเนมลิสต์มาให้ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อใบอนุญาตทำงานในขั้นตอนต่อไปได้
ประกอบกับภายหลังจากการตรวจค้น มีนายจ้างที่ได้ยื่น Name List ไว้ในระบบตั้งแต่แรก ๆ ที่เปิดให้มีการต่อใบอนุญาตทำงานและยืนยันจะไม่จ่ายเงินค่าอนุมัติ Name List และรออยู่เรื่อยมาก็ยังได้รับการอนุมัติ แสดงให้เห็นว่ามีขบวนการเรียกรับเงินในส่วนนี้โดยไม่ถูกต้องจริง
จากข้อเท็จจริงทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เพียงพอที่จะเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้นแล้ว เป็นคณะบุคคลร่วมกันกระทำความผิด ประกอบด้วย เจ้าของบัญชี และนาย XXX (นายหน้านำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ) โดยมีขบวนการบอกให้นายจ้างหรือบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ (บนจ.) จ่ายเงินค่าอนุมัติ Name List ผ่านบริษัทจัดหางาน Agency ของกัมพูชา ทั้ง ๆ ที่ในความจริงไม่ต้องจ่าย ระบบก็อนุมัติอยู่แล้ว ถ้าไม่มีปัญหาในเรื่องคุณสมบัติ และไม่เห็นว่าบริษัท Agency จะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร เพราะตัวแรงงานเองก็อยู่ที่ประเทศไทยอยู่แล้ว
การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการปกปิดความจริง ทำให้มีผู้หลงเชื่อยอมโอนเงินไปโดยไม่เต็มใจ และเกิดความสงสัยในวิธีการต่อใบอนุญาตทำงานที่แท้จริงว่าที่ถูกต้อง ต้องเป็นอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายเป็นจำนวนมากให้กับนายจ้างและแรงงานต่างด้าวที่ต้องการจะต่อใบอนุญาตทำงาน ส่งผลกระทบต่อการประกอบกิจการภายในประเทศ ผู้ประกอบการและลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าวเกิดความกลัวว่าจะถูกจับกุมหากต่อใบอนุญาตทำงานไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้กลุ่มบุคคลที่ร่วมขบวนการได้รับเงินที่มิชอบด้วยกฎหมายนี้ไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีนายจ้างกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ถูกต้อง ยืนยันว่าจะไม่จ่ายเงินในส่วนนี้ เข้าร้องเรียนต่อหน่วยงานภาครัฐและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งภายหลังการตรวจค้นของคณะพนักงานสืบสวน Name List ที่ค้างในระบบตั้งแต่แรกๆ ก็ถูกอนุมัติออกมาโดยไม่ต้องจ่ายเงินเป็นค่าอนุมัติใด ๆ
จึงเห็นว่าเป็นการร่วมกันกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 และความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ตามมาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 โดยมีลักษณะแห่งคดีแห่งการกระทำความผิดตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) (ก) (ข) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
หากมีความคืบหน้าประการใด สำนักข่าวอิศราจะนำมารายงานให้สาธารณชนรับทราบต่อไป
ที่มาภาพปก : เว็บไซต์สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดตราด (สวท.ตราด)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา