
"...กระแสข่าวล่าสุดก็ ‘พรรคชาติไทยพัฒนา’ สมบัติก้นกรุของ ‘มังกรเติ้ง’ บรรหาร ศิลปอาชา ที่ในยุค ‘ลูกท็อป’ วราวุธ ศิลปอาชา เป็นผู้นำพรรค ก็มีการนำพา สส. ‘ผนวก’ เป็นส่วนหนึ่งของ ‘เครือข่ายน้ำเงิน’ ขณะที่ทีมข่าวการเมืองสำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันว่าจากแหล่งข่าวระดับสูงในพรรคชาติไทยพัฒนา ว่า การย้าย สส.‘พรรคชาติไทยพัฒนา’ ไปเข้าร่วมพรรคภูมิใจไทย ที่จะเกิดขึ้น เป็นการย้ายเฉพาะตัว สส. ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา ยังคงอยู่..."
การยุบสภาฯ ภายใน 31 ม.ค. 2569 ดูท่าอาจเกิดขึ้นเร็วกว่านั้นเสียแล้ว!
พลันที่ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ประกาศผ่านสื่อหลายครั้งว่า ถ้าหากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเข้ามา อาจมีความจำเป็นต้อง ‘ยุบสภาฯ’ ก่อนกำหนดใน MOA

@อนุทิน ชาญวีรกูล
นัยหนึ่ง ‘อนุทิน’ ไม่ต้องการให้ถูก ‘ด่าฟรี’ แถมยังถูกซ้ำด้วยการโหวต ‘ไม่ไว้วางใจ’ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ทางการเมืองอย่างมาก เพราะอาจมีชื่อเป็น ‘นายกฯคนแรก’ ที่ถูกลงมติไม่ไว้วางใจด้วยเสียงข้างมากเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ไทย เพราะเป็น ‘รัฐบาลเสียงข้างน้อย’ พ่ายแพ้ ‘ฝ่ายค้านเสียงข้างมาก’ ซึ่งนำโดยพรรคประชาชน (ปชน.)
อีกนัยหนึ่ง ‘พรรคภูมิใจไทย’ เตรียมพร้อมทั้ง ‘กระแส-กระสุน’ เอาไว้เรียบร้อย ตั้งแต่ถูก ‘พรรคส้ม’ เปลี่ยนจาก ‘ฝ่ายค้าน’ เป็น ‘ฝ่ายค้ำ’ ยันให้ ‘อนุทิน’ เถลิงเก้าอี้นายกฯคนที่ 32 เห็นได้จากมี ‘นักเลือกตั้ง’ ระดับ ‘บ้านใหญ่’ หลายพื้นที่ หอบหิ้ว สส.ในสังกัด มาร่วมซบ ‘พรรคน้ำเงิน’ จำนวนไม่น้อย
กระแสข่าวล่าสุดก็ ‘พรรคชาติไทยพัฒนา’ สมบัติก้นกรุของ ‘มังกรเติ้ง’ บรรหาร ศิลปอาชา ที่ในยุค ‘ลูกท็อป’ วราวุธ ศิลปอาชา เป็นผู้นำพรรค ก็มีการนำพา สส. ‘ผนวก’ เป็นส่วนหนึ่งของ ‘เครือข่ายน้ำเงิน’ ขณะที่ทีมข่าวการเมืองสำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันว่าจากแหล่งข่าวระดับสูงในพรรคชาติไทยพัฒนา ว่า การย้าย สส.‘พรรคชาติไทยพัฒนา’ ไปเข้าร่วมพรรคภูมิใจไทย ที่จะเกิดขึ้น เป็นการย้ายเฉพาะตัว สส. ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา ยังคงอยู่

@ วราวุธ ศิลปอาชา
นอกจากกระสุนที่เตรียมไว้เต็มแม็กซ์ ยังมี ‘กระแส’ ชาตินิยม จากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ถูกนำมา ‘ปั่น’ โหมไฟแห่งความเกลียดชัง-รักชาติให้มากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ที่แข็งกร้าวต่อนโยบายด้านการต่างประเทศของรัฐบาลชุดปัจจุบัน จนอาจนำพาให้ ‘พรรคขนาดกลาง’ อย่างภูมิใจไทย ผงาดขึ้นเป็น ‘พรรคขนาดใหญ่’ ก็เป็นไปได้
ที่สำคัญการผนวกพรรคขนาดกลาง-ดีลสารพัดบ้านใหญ่หลายจังหวัดให้เข้ามาสวามิภักดิ์ คล้ายคลึงกับการดำเนินนโยบายของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) พรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมหลักของญี่ปุ่น ที่เป็นการรวมกลุ่มก้อนนักการเมืองหลากหลายก๊วนให้มาอยู่รวมกัน เพื่อหวังผูกขาดเป็นรัฐบาลพรรคเดียว หรือย้อนไปไม่นานนักก็คือพรรคไทยรักไทยในอดีตที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในการเลือกตั้งปี 2548
นอกจากนี้ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ทำให้พรรคการเมืองอ่อนกำลังลงอย่างหนัก ภายใต้สมรภูมิ 3 ก๊ก ฝ่ายอนุรักษนิยมคงเหลือเพียง ‘ตัวเลือกเดียว’ นั่นคือ ‘เครือข่ายสีน้ำเงิน’ ให้เลือกเล่นบนกระดานการเมือง เพราะพรรคที่เคยเป็นความหวัง เช่น พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) หรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แทบจะเรียกได้ว่า ‘สูญพันธุ์’ ทางการเมืองไปแล้ว

@อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แม้ว่าในส่วน ‘ค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม’ จะได้ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ อดีตนายกฯคัมแบ็กกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกคำรบ แต่ในยุคที่ ‘บ้านใหญ่สีฟ้า’ แตกกระสานซ่านเซ็น ออกจากพรรคไปเกือบหมดแล้ว จะอาศัยเพียงแค่ ‘กระแส’ อย่างเดียว ก็ไม่อาจนำพาให้พรรคประสบความสำเร็จได้ แตกต่างจาก ‘ก๊กส้ม’ ที่ใช้ ‘กระแส’ มาตั้งแต่ต้น ได้ใจวัยรุ่น และเกาะกุมหัวใจประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศอยู่ในตอนนี้ (อ้างอิงจากผลการเลือกตั้งปี 2566 ที่พรรคก้าวไกลได้จำนวน สส.มากสุดในสภาฯ 151 คน และคะแนนปาร์ตี้ลิสต์กว่า 14 ล้านเสียง)
เมื่อพูดถึง ‘ก๊กส้ม’ แล้ว หลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งมา 2 ครั้ง และถูกยุบพรรค 2 ครั้งในรอบ 7 ปี (อนาคตใหม่/ก้าวไกล) ปัจจุบันยานพาหนะคันที่ 3 ในนาม ‘พรรคประชาชน’ มีการปรับแผนยุทธศาสตร์ให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น มุ่งเน้นนโยบายด้านปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันในเชิงโครงสร้าง ที่ฝังรากลึกในสังคมไทย รวมถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจ-ต่างประเทศ ลดบทบาทผลักดันในเรื่องเกี่ยวกับ ‘ปฏิรูปโครงสร้างการเมือง’ เช่น การแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเคยเป็น ‘ธงหลัก’ ลงไป
อาจเป็นเพราะ ‘ทฤษฎีประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต’ ที่ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เคยวิเคราะห์ไว้ว่า ปัจจุบันพรรคที่จะได้รับการยอมรับเป็นรัฐบาลได้ต้องมี 2 ใบอนุญาต ใบแรกคือฉันทามติของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง ใบที่สองคือผ่านฉันทามติของผู้มีอำนาจ หรือ ‘รัฐซ้อนรัฐ’ ให้ได้เสียก่อน
ดังนั้นยุทธวิธีที่จะได้ใบอนุญาตใบที่ 2 มีแค่ 2 ทางเลือกคือ
1.ได้ชัยชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายจนจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ (ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 คือต้องได้มากกว่า 251 เสียง)
หรือ 2.ยอมศิโรราบแก่ชนชั้น เพื่อให้ได้ใบอนุญาตใบที่ 2 มา
ในขณะที่การก้าวเดินไปข้างหน้าของ ปชน.ดูเหมือนว่าจะยัง ‘แทงกั๊ก’ ว่าจะใช้ยุทธศาสตร์ใดกันแน่ คงต้องรอดูหลังการเลือกตั้งครั้งถัดไปเสียก่อน แต่ถ้าดูข้อเท็จจริงตามฉากหน้าขณะนี้ เหมือนว่าพรรคจะลด ‘ความแข็งกร้าว’ ลง ไปเน้น ‘ดุดัน’ ด้านปราบโกงมากขึ้น
ยกตัวอย่างการอภิปราย หรือการเปิดประเด็นของพรรคส้มในอดีต เน้นไปที่ ‘ตั๋วช้าง-เครือข่ายบ้านป่าฯ’ ที่สะท้อนถึง ‘รัฐพันลึก’ แต่ปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่ ‘ทุนเทา’ เกาะกินประเทศไทย ซึ่งมีความเชื่อมโยงอย่างมากไปแค่ ‘บิ๊กเนมการเมือง-ข้าราชการ’ เท่านั้น
ความเปลี่ยนแปลงล่าสุด ในการเลือกตั้งเดิมนั้น ‘พรรคส้ม’ ใช้ยุทธวิธี ‘กระแส’ ไปสู้ ‘กระสุน’ ซึ่งในการเลือกตั้งที่ผ่านมา 2 ครั้ง ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทว่าในยุคปัจจุบันที่กระแสชาตินิยมกำลังสูง การใช้ ‘กระแส’ ของพรรคส้มอาจไม่เพียงพอ ทำให้ ‘ผู้บริหารพรรค’ อาจปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์เล็กน้อย
กล่าวคือ หากพื้นที่ไหน ‘กระแส’ ยังสูงอยู่ ก็อาจใช้ตัวเลือกเดิม หรือผู้สมัครที่ผ่านการเฟ้นหามาลงสมัครได้ต่อไป แต่ถ้าพื้นไหนสุ่มเสี่ยง หรือ 50/50 อาจจำเป็นต้องดึงตัว ‘บ้านใหญ่-บ้านใหม่’ มาเข้าพรรค เพื่อสู้กับ ‘กระสุน’ ซึ่งโมเดลนี้เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในการเลือกตั้งนายก อบจ.ลำพูน
หากสังเกตไม่นานมานี้ ปชน.เริ่มดีล ‘บ้านใหญ่’ ให้เข้าพรรคหลายคน เช่น อธิรัฐ รัตนเศรษฐ ลูกชาย ‘เสี่ยปาน’ วิรัช รัตนเศรษฐ อดีตรัฐมนตรี อดีต สส.โคราช หลายสมัย ‘น็อต’ ภูวนาถ รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ อดีตรองนายก อบจ.กาญจนบุรี หนึ่งในกลุ่มบ้านใหญ่เมืองกาญจน์ หรือล่าสุด ‘มดแดง’ ศุกติชา ตันเจริญ ลูกของ ‘พิเชษฐ์ ตันเจริญ’ พี่ชาย ‘สุชาติ ตันเจริญ’ ซุ้มบ้านริมน้ำ ผู้มากบารมีแห่งฉะเชิงเทรา เป็นต้น
ที่น่าสนใจ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้นำทางจิตวิญญาณพรรคส้ม เคยกล่าวไว้เมื่อราวปลาย ก.ย.ที่ผ่านมา ถึง “การประนีประนอมครั้งใหญ่ใน 2 ปี” หรือ ‘Grand Compromise’ เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทย ที่กินเวลามายาวนานตั้งแต่เกิดรัฐประหารปี 2549 เปิดทางให้ประชาธิปไตย ก้าวเดินไปข้างหน้าได้เสียที

@ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ดังนั้นย่างก้าวของ ปชน.นับจากนี้น่าจับตา โดยเฉพาะการ ‘Grand Compromise’ ระหว่าง ‘กระแส-บ้านใหญ่’ เพื่อผลักดันยานพาหนะสีส้มไปข้างหน้า หวังจัดตั้ง ‘รัฐบาลพรรคเดียว’ แบบสมัย ‘ไทยรักไทย’ เมื่อ 20 ปีก่อนให้สำเร็จให้ได้
ทว่าอุปสรรคสำคัญของ ‘พรรคส้ม’ เวลานี้ มีทั้ง ‘ค่ายแดง’ ที่แม้กำลังหมอบราบคาบ แต่ก็รอวันกลับมายิ่งใหญ่ หรือ ‘ก๊กน้ำเงิน’ ที่กำลังผงาดติดลมบนอยู่เวลานี้ ก็ใช่ว่าจะยอมแพ้โดยง่าย
สุดท้ายต้องวัดใจ ‘ประชาชน’ ที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้น จะเป็นจุดชี้วัดว่า ‘ก๊กส้ม’ จะถึงฝั่งฝันได้หรือไม่

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา