
“…กำหนดให้การไม่ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นหรือจงใจบิดเบือนข้อมูลในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนถือเป็นความผิดทางปกครองหรืออาญา เช่น กำหนดโทษปรับต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐที่ละเลย หรือไม่ดำเนินการ หรือจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น…”
....................................
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2568 ครม.มีมติรับทราบรายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เรื่อง แนวทางการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินการที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน พร้อมข้อเสนอแนะ ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอ
พร้อมกันนั้น ครม.ได้มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินในเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอ ครม.ต่อไป นั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอรายละเอียดของรายงานเสนอต่อ ครม. กรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญฯ เรื่อง แนวทางการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินการที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ดังนี้
@‘ประชาชน’ร้องเรียนกระบวนการ‘รับฟังความคิดเห็น’จำนวนมาก
ด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มาตรา 58 บัญญัติให้รัฐต้องดำเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน
และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการใดของรัฐหรือที่รัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติ ถ้าการนั้นอาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นหลักประกันในการรับรองและคุ้มครองสิทธิของประชาชนและชุมชนว่า การดำเนินการของรัฐหรือการอนุญาตให้ดำเนินการใดตามที่กฎหมายบัญญัติที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย คุณภาพชีวิต วิถีชีวิตของประชาชนหรือชุมชนอย่างรุนแรง
รัฐต้องศึกษา ประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
โดยต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เกี่ยวข้องก่อน และต้องคำนึงให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด รวมทั้งต้องเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า
สำหรับการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชนที่ผ่านมานั้น ภาครัฐมีการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน (Environmental Impact Assessment: EIA) ที่ช่วยคาดการณ์ผลกระทบทั้งในทางบวกและทางลบ ประกอบการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการตัดสินใจในการดำเนินโครงการหรือกิจการด้านต่างๆ
ในส่วนของการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการใดของรัฐหรือที่รัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัตินั้น แม้ภาครัฐจะได้กำหนดวัตถุประสงค์ตลอดจนหลักเกณฑ์ วิธีการ รวมถึงระยะเวลาที่ชัดเจนในการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นก็ตาม
แต่จากการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนที่ส่งมายังผู้ตรวจการแผ่นดิน พบว่ามีเรื่องร้องเรียนของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากกระบวนการในการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นกรณีหน่วยงานของรัฐไม่ดำเนินการให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวง
หรือการอนุญาตให้เอกชนดำเนินการรับฟังความคิดเห็นที่ไม่เหมาะสม เช่น การจัดประชุมชี้แจงโครงการและรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้ที่ได้รับความเสียหายจากโครงการดังกล่าว เป็นผู้สูงอายุและมีข้อจำกัดในการเข้าร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 230 (3) ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560 มาตรา 22 (3) และมาตรา 35 ดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อจัดทำรายงานพร้อมข้อเสนอแนะเสนอ ครมเพื่อพิจารณาต่อไป
ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้พิจารณาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงจากการชี้แจงของหน่วยงานส่วนกลาง บทความทางวิชาการ และการลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริง รวมทั้งประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานของรัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนภูมิภาคแล้ว
เห็นว่า เพื่อเป็นหลักประกันให้กับประชาชนว่าการดำเนินการของรัฐหรือการอนุญาตให้ดำเนินการใดที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต วิถีชีวิตของประชาชนหรือชุมชนอย่างรุนแรง รัฐต้องศึกษาประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
ทั้งนี้ ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เกี่ยวข้องก่อน โดยต้องคำนึงให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด และต้องเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมและโดยไม่ชักช้า ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 5 หน้าที่ของรัฐมาตรา 58
จึงมีข้อเสนอแนะโดยมีประเด็นเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามนัยมาตรา 230 (3) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560 มาตรา 22(3) และมาตรา 35 ดังนี้
@ชงยกร่าง‘พ.ร.บ.รับฟังความคิดเห็นของประชาชน’เป็นกม.กลาง
1.ข้อเสนอแนะในระยะยาว
1.1 เสนอให้สำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการศึกษาและ ร่าง พ.ร.บ.รับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. .... เพื่อให้เป็นหลักประกันแก่สิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยสมบูรณ์ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะเป็นกฎหมายกลางเกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน มีลักษณะเป็นกฎหมายทั่วไปที่กำหนดหลักเกณฑ์ขั้นพื้นฐานในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายเฉพาะ
โดย พ.ร.บ.ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นการเข้าถึงข้อมูล และการตรวจสอบการดำเนินโครงการของรัฐกำหนดมาตรฐานกลางในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งสามารถใช้ควบคู่กับกฎหมายเฉพาะได้โดยไม่ขัดแย้ง
อีกทั้งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐในการดำเนินโครงการต่างๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อประชาชน ลดความขัดแย้งในสังคมที่เกิดจากการรับฟังความคิดเห็นที่ไม่รอบด้านหรือไม่ทั่วถึง
และเพื่อไม่ให้เป็นภาระด้านงบประมาณของประเทศ ขอให้มอบหมายสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนอยู่แล้วเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการต่อไป
1.2 เสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการศึกษาและ แก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... และประกาศที่เกี่ยวข้อง โดยมีประเด็นดังต่อไปนี้
(1) การหลีกเลี่ยงกฎหมาย
ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณานำหลักคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อส. 76/2559 ลงวันที่ 9 มี.ค.2566 มาจัดทำเป็นคู่มือแนวทางการพิจารณาใบอนุญาตตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อใช้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจอนุญาตตามกฎหมายในโครงการที่ต้องจัดทำรายงาน IEE EIA หรือ EHIA ทราบ โดยต้องมีรายละเอียดการตรวจสอบ ดังนี้
1) ขนาดโครงการหรือกิจการไม่เข้าข่ายการทำรายงานฯ
2) พื้นที่โดยรอบโครงการมีการทำโครงการหรือกิจการประเภทเดียวกันหรือไม่
3) (ถ้ามี) การดำเนินการตามข้อ 2) ให้ตรวจสอบว่าผู้ประกอบกิจการเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลเดียวกันหรือไม่
หากเข้าองค์ประกอบทั้งหมด การพิจารณาใบอนุญาตต้องพิจารณาตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นหลัก คือ โครงการหรือกิจการดังกล่าวต้องดำเนินการทำรายงาน IEE EIA หรือ EHIA แล้วแต่ประเภท
(2) บทกำหนดโทษไม่ได้สัดส่วนความผิด
ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณา
1) แก้ไขบทลงโทษให้เป็นไปตามมูลค่าโครงการหรือขนาดผลกระทบ โดยใช้หลักการ “อัตราส่วนต่อมูลค่าความเสียหาย” เช่น ปรับร้อยละ 0.1 -1 ของมูลค่าโครงการ ทั้งนี้ ให้อิงตามหลักเกณฑ์การประเมินทางเศรษฐศาสตร์ของผลกระทบสิ่งแวดล้อม
2) พิจารณาเพิ่มบทลงโทษเป็นหลายระดับ เช่น
-โครงการขนาดเล็ก ให้โทษปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 100,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561
-โครงการขนาดใหญ่ ปรับเป็นร้อยละของมูลค่า
-โครงการที่มีผลกระทบชัดเจน ให้พิจารณาสั่งระงับหรือรื้อฟื้นโครงการพร้อมเพิกถอนอนุญาต โดยอาจมอบอำนาจให้หน่วยงานผู้ออกใบอนุญาต หรือหน่วยงานเจ้าของพื้นที่มีอำนาจพิจารณาออกคำสั่งระงับการดำเนินการโครงการชั่วคราว ระหว่างรอการแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพประชาชน
(3) บทกำหนดโทษกรณีผู้จัดทำรายงานฯ ทำรายงานอันเป็นเท็จ
พิจารณาเพิ่มโทษของผู้จัดทำรายงานฯ อันเป็นเท็จหรือปกปิดสาระสำคัญ โดยให้มีโทษทางอาญาทั้งจำคุกและปรับอย่างสูง รวมทั้งเพิ่มมาตรการทางปกครองให้ไม่สามารถขอใบอนุญาตเป็นผู้จัดทำรายงานได้อีกต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับผู้จัดทำรายงานฯ ซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
@เสนอแก้ระเบียบฯ‘รับฟังความเห็นฯ’-แก้นิยาม‘ผู้มีส่วนได้เสีย’
2.ข้อเสนอระยะสั้น
2.1 เสนอสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการศึกษาและ แก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ...โดยมีประเด็นดังต่อไปนี้
(1) การกำหนดคำนิยาม
คำว่า “ผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนเป็นส่วนรวม” โดยอาจพิจารณาดำเนินการเป็นหลักเกณฑ์หรือประกาศแนบท้ายที่ใช้พิจารณา เช่น โครงการที่มีขนาดใหญ่ โครงการที่ใช้งบประมาณสูง โครงการที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ หรือวิถีชีวิตของประชาชนจำนวนมาก รวมทั้งโครงการที่ก่อให้เกิดการเวนคืน การโยกย้าย การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ทำกินหรือที่อยู่อาศัย
คำว่า “ผู้มีส่วนได้เสีย” ให้หมายถึง ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งอาจได้รับผลกระทบหรือได้รับความเดือดร้อนหรือความเสียหายจากการดำเนินโครงการ
ทั้งนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอาจพิจารณาจัดทำคู่มือหรือแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาผู้มีส่วนได้เสีย ให้หน่วยงานของรัฐใช้ในการพิจารณาผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นระบบ โดยให้พิจารณาผลกระทบทางตรง ทางอ้อม หรือผลกระทบสะสมที่อาจเกิดขึ้น
เช่น ส่งเสริมการใช้แผนที่ผลกระทบหรือการวิเคราะห์เครือข่ายผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder Analysis) เพื่อให้เห็นภาพว่าประชาชนกลุ่มใดได้รับผลกระทบบ้าง และต้องเปิดช่องทางให้ประชาชนกลุ่มเหล่านั้นเข้าร่วมในกระบวนการ รวมทั้งให้ประชาชนมีสิทธิลงทะเบียนแสดงตนเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วยตนเอง หากเห็นว่าโครงการนั้นมีผลกระทบต่อตน แม้ไม่ถูกจัดอยู่ในรายชื่อโดยหน่วยงานของรัฐในเบื้องต้น
(2) ระยะเวลาการประชาสัมพันธ์และการปิดประกาศ
เพื่อให้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรมีการพิจารณาทบทวนระยะเวลาการปิดประกาศและการประชาสัมพันธ์ให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมยิ่งขึ้น
โดยอาจพิจารณากำหนดระยะเวลาขั้นต่ำให้เหมาะสมกับลักษณะของโครงการหรือกิจกรรม เช่น โครงการที่มีผลกระทบสูงควรมีระยะเวลาในการประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้น หรือมีการกำหนดช่วงเวลารับฟังความคิดเห็นที่เพิ่มขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าร่วมได้อย่างแท้จริง
(3) ช่องทางการประชาสัมพันธ์
ควรมีการปรับปรุงและเพิ่มเติมช่องทางการประชาสัมพันธ์ให้มีความหลากหลาย และทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในรูปแบบออนไลน์และดิจิทัล ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็ว กว้างขวางและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมของรัฐได้มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม การประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์และเทคโนโลยีดิจิทัลเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสำหรับประชาชนกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่มีความพร้อมในการเข้าถึงเทคโนโลยี ดังนั้น การใช้ช่องทางการประชาสัมพันธ์แบบเดิม
เช่น การติดประกาศในสถานที่ราชการ การใช้เสียงตามสายของหมู่บ้านหรือชุมชน วิทยุชุมชน หรือการประชาสัมพันธ์ผ่านผู้นำชุมชน ยังคงมีความจำเป็นและควรดำเนินการควบคู่กันไปในปัจจุบัน เพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุมทุกกลุ่มอย่างแท้จริง
(4) รูปแบบการประชาสัมพันธ์
เพื่อยกระดับคุณภาพของกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน จึงควรพัฒนารูปแบบการประชาสัมพันธ์ให้มีความหลากหลาย เหมาะสม และเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม ดังนี้
1) การจัดทำเอกสารในหลายรูปแบบตามความเหมาะสมของผู้มีส่วนได้เสีย เช่น “รายงานโดยละเอียด” (ฉบับเต็ม) สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาโครงการในเชิงลึก เช่น นักวิชาการ ตัวแทนชุมชนหรือภาคประชาสังคม “รายงานแบบสรุปย่อ” ที่ใช้ภาษาที่อ่านง่าย ช่วยให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจสาระสำคัญของโครงการ
“อินโฟกราฟิกหรือสื่อภาพ” เพื่อสื่อสารข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย กระชับ เหมาะสำหรับประชาชนทั่วไปหรือกลุ่มผู้สูงอายุ “วิดีโอหรือคลิปสั้น” เพื่ออธิบายเนื้อหาในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและดึงดูดความสนใจ โดยเฉพาะหากเผยแพร่ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย
2) การใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิค หรือหากจำเป็นต้องใช้ควรมีคำอธิบายเพิ่มเติม ซึ่งให้ข้อมูลทั้งข้อดีและข้อเสียของโครงการอย่างเป็นธรรมและรอบด้าน พร้อมทั้งนำเสนอผลกระทบที่เป็นไปได้ พร้อมแนวทางการเยียวยาหรือป้องกันที่ชัดเจน
3) จัดหาล่ามหรือบุคคลซึ่งสามารถใช้ภาษาถิ่นในกรณีที่ประชาชนซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่สามารถสื่อสารและเข้าใจภาษาราชการ (ภาษาไทยกลาง)
@เพิ่มความโปร่งใสเลือก‘เป้าหมาย’-เปิดโอกาสให้‘ทุกกลุ่ม’
(5) การกำหนดผู้มีส่วนได้เสียและสัดส่วนผู้เข้าร่วม
ควรเน้นที่ความครอบคลุมของกลุ่มเป้าหมาย ความโปร่งใสในการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย และการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงกระบวนการได้ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงและมีประสิทธิภาพในระยะยาว
โดยอาจพิจารณาจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีส่วนได้เสียที่อาจเกี่ยวข้องกับโครงการในเบื้องต้น ซึ่งอาจใช้ข้อมูลจากทะเบียนบ้าน ข้อมูลทางสิ่งแวดล้อม ข้อมูลการประกอบอาชีพ หรือข้อมูลจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาช่วยสนับสนุน จากนั้นเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนเพิ่มเติมในฐานะผู้มีส่วนได้เสีย หากเห็นว่าตนเองจะได้รับผลกระทบจากโครงการหรือกิจการนั้น
นอกจากนี้ ควรกำหนดให้มีการรายงานถึงกระบวนการคัดเลือกตัวแทนผู้เข้าร่วม และเปิดเผยรายชื่อหรือสัดส่วนของผู้เข้าร่วมในแต่ละกลุ่มอย่างโปร่งใส เช่น กลุ่มประชาชนในพื้นที่โดยรอบ กลุ่มประชาชนทั่วไปตัวแทนภาคประชาสังคม ผู้ประกอบการในพื้นที่ และตัวแทนกลุ่มที่คัดค้านหรือแสดงความห่วงกังวล เป็นต้น
(6) การสร้างความเชื่อมั่น
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนต่อกระบวนการมีส่วนร่วม จึงควรกำหนดให้มีการดำเนินการ ดังนี้
1) การแต่งตั้งคนกลางหรือหน่วยงานอิสระที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการคัดเลือก โดยพิจารณาให้มีบุคคลที่สามหรือหน่วยงานอิสระ ซึ่งมีความเป็นกลางและได้รับความไว้วางใจจากทุกฝ่ายเข้าร่วมในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในฐานะผู้สังเกตการณ์
โดยอาจมีบทบาท เช่น ทำการตรวจสอบความเป็นธรรม ความเปิดเผย และความโปร่งใสของกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รับฟังและจดบันทึกความคิดเห็นโดยไม่เลือกปฏิบัติ และจัดทำรายงานการสังเกตการณ์อิสระเพื่อประกอบกับรายงานหลักของหน่วยงานรัฐ
อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งคนกลางหรือหน่วยงานอิสระนั้น ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและมีหลักเกณฑ์ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งกลายเป็น “ผู้ชี้นำ” ความเห็นของประชาชน หรือมีผลต่อทิศทางของการอภิปราย
2) การเปิดโอกาสให้แสดงความเห็นต่อรายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ภายใน 30 วัน นับจากวันที่มีการเผยแพร่รายงานอย่างเป็นทางการ เพื่อให้รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นเป็นเอกสารที่ครอบคลุมมุมมองและข้อห่วงกังวลของประชาชนอย่างรอบด้านภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
(7) การกำหนดให้มีคนกลางในการแก้ไขปัญหา
ปัญหาสำคัญในการแก้ไขข้อขัดแย้งในพื้นที่เกี่ยวกับโครงการหรือกิจการที่กระทบต่อประชาชน คือ การขาดกลไกกลางที่มีอำนาจและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย
ดังนั้น การกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี และมีกฎหมายหรือระเบียบรองรับที่ชัดเจน จะช่วยให้กระบวนการแก้ไขปัญหาเป็นระบบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสร้างความไว้วางใจร่วมระหว่างภาครัฐภาคเอกชน และประชาชนได้อย่างยั่งยืน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1) อำนาจแต่งตั้ง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเป็นผู้แทนของรัฐในระดับพื้นที่มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาคีอย่างเป็นทางการ และมีอำนาจในการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาคี เพื่อให้นำไปปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน
2) องค์ประกอบของคณะกรรมการไตรภาคี ประกอบด้วย
2.1) ตัวแทนจากภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติโครงการ เช่น สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง หรือหน่วยงานด้านสาธารณสุข
2.2) ตัวแทนผู้ประกอบการ
2.3) ตัวแทนภาคประชาชน เช่น ตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งควรมีหลักเกณฑ์การคัดเลือกอย่างโปร่งใส โดยผ่านการประชุมคัดเลือกโดยชุมชน หรือองค์กรท้องถิ่น เป็นต้น ทั้งนี้ อาจมีการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิอิสระ หรือภาคประชาสังคมเข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา เพื่อให้การดำเนินงานมีความสมดุลและรอบด้าน
3) อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ
กำหนดให้มีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากโครงการหรือกิจการ กำกับ ติดตาม และเสนอแนวทางแก้ไขที่เป็นธรรมและเป็นไปตามกฎหมาย ติดตามการดำเนินการของผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับมาตรการลดผลกระทบตามกฎหมาย เช่น รายงาน EIA หรือ รายงาน EHIA หรือเงื่อนไขในใบอนุญาตต่าง ๆ และให้เปิดเผยผลการดำเนินงานสู่สาธารณะ เพื่อสร้างความโปร่งใส
4.) ผลในทางกฎหมาย กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการไตรภาคีเป็นระยะต่อคณะกรรมการดังกล่าว และรายงานดังกล่าวสามารถนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบการพิจารณาต่ออายุใบอนุญาต หรือการพิจารณาความรับผิดในทางปกครองหากพบการฝ่าฝืน เป็นต้น
@เพิ่มโทษ‘วินัย-อาญา’จนท.จัดรับฟังฯไม่เป็นธรรม-บิดเบือนข้อมูล
(8) การกำหนดโทษ
เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยกระดับกลไกธรรมาภิบาล ควรมีการกำหนดมาตรการด้านวินัยหรือความรับผิดทางกฎหมายต่อเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่ไม่ดำเนินการตามที่ระเบียบกำหนด ดังนี้
1) มาตรการลงโทษทางวินัย
กำหนดให้เจ้าหน้าที่หรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่ละเลย ไม่ดำเนินการหรือจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมอาจถูกดำเนินการทางวินัย
2) มาตรการทางกฎหมาย
กำหนดให้การไม่ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นหรือจงใจบิดเบือนข้อมูลในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนถือเป็นความผิดทางปกครองหรืออาญา เช่น กำหนดโทษปรับต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐที่ละเลย หรือไม่ดำเนินการ หรือจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น
2.2 เสนอให้หน่วยงานของรัฐอื่นที่มีกฎหมาย ระเบียบ หรือประกาศที่เกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พิจารณานำหลักการ แนวทาง หรือขั้นตอนตามที่ได้แก้ไขปรับปรุงในระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ....ไปปรับปรุงหรือพัฒนากฎหมาย ระเบียบ หรือประกาศที่มีอยู่ ให้มีความสอดคล้องกัน และมีมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบราชการ เพื่อเสริมสร้าง หลักธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการกำหนดนโยบายหรือมาตรการของรัฐต่อไป
เหล่านี้เป็นสาระสำคัญของข้อเสนอแนะ ‘แนวทางการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินการที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน’ ของ ‘ผู้ตรวจการแผ่นดิน’ ที่เสนอให้ ครม.รับทราบ และต้องติดตามกันต่อไปว่า ‘สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี’ จะมีข้อสรุปในการดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวอย่างไร?

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา