นอกจากนี้ยังมีแนวคิดอีกประการที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานเรื่องไวรัสซาร์ส-2 อาจจะแพร่พันธุ์อยู่ในพื้นที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นานแล้วก่อนที่การระบาดจะเริ่มขึ้น โดย นพ.จอห์น เบล ศาสตราจารย์คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้กล่าวว่าที่ผ่านมาประเทศเวียดนามมีจำนวนผู้ติดเชื้อประมาณ 300 กว่าราย (ข้อมูลวันที่ 22 พ.ค.) ทั้งๆที่มีประชากรทั้งประเทศจำนวน 100 ล้านคน และประเทศนี้ไม่ได้มีการออกมาตราการปิดเมืองครั้งใหญ่แบบในประเทศแต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดจากการคาดการณ์เอาไว้ว่าประเทศนี้น่าจะมีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก
--------------------------
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าหรือโควิด 19 ที่มีผู้ติดเชื้อไปทั่วโลกเป็นจำนวนมากกว่า 20.5 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 750,000 ราย ณ เวลานี้
ชื่อของประเทศไทยได้ปรากฏเป็นข่าวดังไปทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อทีมนักวิจัยจากประเทศไทยได้ลงพื้นที่เพื่อจะจับและตรวจสอบดีเอ็นเอในถ้ำค้างคาว อุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี เพื่อจะติดตามต้นกำเนิดของไวรัสโควิด 19 ที่แท้จริง
โดย น.ส.สุภาภรณ์ วัชรพฤกษาดี นักวิจัยศูนย์วิจัยโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในฐานะหัวหน้าทีมที่ลงพื้นที่ได้ กล่าวว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ทีมนักวิจัยจะเจอต้นตอของไวรัสโควิด 19 จากค้างคาวในประเทศไทย
“โรคระบาดนี้เป็นโรคที่ไร้พรมแดน ซึ่งสามารถเดินทางไปได้กับค้างคาว จึงหมายความว่ามันสามารถไปที่ไหนก็ได้” น.ส.สุภาภรณ์กล่าว
จากกรณีดังกล่าว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้สืบค้นรายงานจากสื่อต่างประเทศที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม พบว่าสำนักข่าว The Economist ของประเทศอังกฤษได้เคยเขียนบทความที่เกี่ยวข้อง โดยได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าแท้จริงแล้วไวรัสโควิด 19 อาจจะไม่ได้มีต้นตอมาจากประเทศจีน
แต่อาจจะมาจากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในแถบชายแดนประเทศลาว เวียดนาม และพม่า
ที่ผ่านมานั้นมีข้อสันนิษฐานเรื่องต้นกำเนิดของเชื้อไวรัสโควิด 19 จากนายปีเตอร์ ดาสแซ็ค นักวิทยาศาสตร์ด้านสาธารณสุขกับสิ่งแวดล้อม และประธานองค์กรกลุ่มพันธมิตรด้านสาธารณสุขสิ่งแวดล้อม (EcoHealth Alliance) ซึ่งองค์กรดังกล่าวทำหน้าที่วิจัยเกี่ยวกับสัตว์ที่มีความสามารถแพร่เชื้อโรคไปสู่มนุษย์ได้
นายดาสแซ็ค กล่าวด้วยว่า ในปัจจุบันนั้นมีค้างคาวอย่างน้อย 16,000 สายพันธุ์ ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงหรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคซาร์ส เป็นจำนวนกว่า 100 สายพันธุ์ไวรัส ซึ่งค้างคาวบางสายพันธุ์ที่พบในประเทศจีนและคาดว่าเป็นต้นกำเนิดของไวรัสโคโรน่า(ไวรัสตระกูลเดียวกับไวรัสซาร์ส) ค้างคาวเหล่านี้ก็เป็นพาหะของไวรัสที่ปรับตัวเพื่อจะแพร่เชื้อสู่มนุษย์ โดยโปรตีนชื่อว่า ACE2 ที่พบในไวรัสนั้นจะเป็นโปรตีนที่มีความใกล้เคียงกับที่พบในมนุษย์ ส่งผลทำให้โปรตีนในไวรัสเหล่านี้เป็นเสมือนใบผ่านทางในการนำพาไวรัสตระกูลซาร์สเข้าสู่ร่างกายมนุษย์
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มมีการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับค้างคาวซึ่งพบในประเทศอื่นๆที่เป็นประเทศติดกับประเทศจีน โดยนักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่าประเทศเหล่านี้นั้นอาจเป็นสถานที่ที่ไวรัสโควิด 19 เกิดการวิวัฒนาการขึ้นมา
ซึ่งค้างคาวเกือกม้าที่พบในมณฑลยูนนานของประเทศจีนและเป็นพาหะของไวรัสที่มีความใกล้เคียงกับไวรัสซาร์-2 (SARS-CoV-2) อันเป็นต้นกำเนิดของโรคระบาดที่แพร่ไปทั่วโลก ณ เวลานี้ ก็เป็นค้างคาวที่ถูกพบมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน
โดย นพ.ดาสแซ็คได้ตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้อีกว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ค้างคาวที่พบในพม่า ลาว และเวียดนาม จะมีสายพันธุ์ของไวรัสที่ใกล้เคียงกับไวรัสโคโรน่าหลายสายพันธุ์อยู่ในตัว ซึ่งก็หมายความว่าจะมีความหลากหลายของไวรัสที่เกี่ยวข้องไวรัสโคโรน่าถูกพบเป็นจำนวนมากในค้างคาวเหล่านี้ และไวรัสบางประเภทนั้นก็มีความเกี่ยวข้องกับไวรัสซาร์ส-2 เช่นกัน
ดังนั้น จึงมีความน่าจะเป็นที่จะค้นพบต้นกำเนิดของการแพร่ระบาดของไวรัสในค้างคาวในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งค้างคาวเหล่านี้ได้อพยพไปยังตอนกลางของประเทศจีน อันเป็นพื้นที่เริ่มต้นของการแพร่ระบาดระดับโลก
ที่ผ่านมารัฐบาลจีนจึงได้ทำข้อตกลงที่จะดำเนินภารกิจกับองค์การอนามัยโลกหรือ WHO เพื่อจะค้นหาคำตอบของไวรัสว่ามาจากที่ไหน โดย ณ เวลานี้คำถามที่สำคัญก็คือตัวอย่างทางชีววิทยาที่เก็บได้จากค้างคาวเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มห่วงโซ่ที่หายไปในช่วงต้นของการระบาด ระหว่างตลาดค้าสัตว์ป่าในเมืองอู่ฮั่น เกษตรกรในพื้นที่ ผู้ค้าสัตว์ป่า และสายพันธุ์ต้นกำเนิดของไวรัสที่กำลังระบาดอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน
นพ.เจอเรอมี่ ฟาร์รา ประธานของ Wellcome Trust ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลขนาดใหญ่ทางด้านการแพทย์ และยังเป็นอดีตศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์เขตร้อนก็ได้กล่าวว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ไวรัสซาร์ส 2 หรือไวรัสที่มีความใกล้เคียงกันนั้นจะแพร่พันธุ์และระบาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในจีนตอนใต้มานานหลายปีแล้ว และยังไม่มีการระบุถึงสิ่งที่เป็นพาหะที่เป็นตัวเชื่อมทำให้เกิดการระบาดระหว่างสัตว์ไปสู่คนแต่อย่างใด
นพ.เจอเรอมี่ซึ่งเคยใช้ชีวิต 18 ปีทำงานอยู่ในประเทศเวียดนามในฐานะหัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้กล่าวว่าวิถีชีวิตของคนในท้องที่นั้นจะออกไปหาค้างคาวทั้งเพื่อทำเป็นอาหารและเพื่อขายในตลาด ซึ่งจากขายสินค้านั้นก็มีความเป็นไปได้ที่เส้นทางของสินค้านั้นจะไปจบลงที่ตลาดในเมืองใหญ่ๆเช่นในเมืองอู่ฮั่น
โดยลักษณะทางกายภาพของค้างคาวจะเป็นสัตว์ที่มีไวรัสอยู่ในตัวค่อนข้างมาก และจะไม่ป่วยจากไวรัสนั้น ค้างคาวเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมการเคลื่อนที่มากกว่าที่ผู้คนทั่วไปจะเข้าใจ และยังเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมการรวมกลุ่มกันสร้างอาณานิคมขนาดใหญ่ ค้างคาวเป็นสัตว์ที่ปล่อยมูลไม่เลือกที่ และมีความเป็นไปได้ว่าจะมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นอาจจะกินอาหารที่ปนเปื้อนมูลนั้น หรืออาจจะรับประทางมูลค้างคาวนั้นต่อมา ซึ่งนี่อาจจะเป็นส่วนผสมทำให้เกิดต้นกำเนิดไวรัสซาร์-2 ตามมา
ความหนาแน่นของค้างคาวจากน้อยไปมาก
นอกจากนี้ยังมีแนวคิดอีกประการที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานเรื่องไวรัสซาร์ส-2 อาจจะแพร่พันธุ์อยู่ในพื้นที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นานแล้วก่อนที่การระบาดจะเริ่มขึ้น โดย นพ.จอห์น เบล ศาสตราจารย์คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้กล่าวว่าที่ผ่านมาประเทศเวียดนามมีจำนวนผู้ติดเชื้อประมาณ 300 กว่าราย (ข้อมูลวันที่ 22 พ.ค.) ทั้งๆที่มีประชากรทั้งประเทศจำนวน 100 ล้านคน และประเทศนี้ไม่ได้มีการออกมาตราการปิดเมืองครั้งใหญ่แบบในประเทศแต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดจากการคาดการณ์เอาไว้ว่าประเทศนี้น่าจะมีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก
ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นพ.เบลกล่าวว่า ข้อสันนิษฐานหนึ่งก็คือชาวเวียดนามอาจจะมีภูมิคุ้มกันธรรมชาติอยู่ก่อนแล้วกับไวรัสที่อยู่ในตระกูลซาร์สซึ่งอาจจะมาจากการติดไวรัสจระกูลซาร์สบางประเภท ดังนั้นจึงไม่มีการติดเชื้อหรือมีการติดเชื้อในพื้นที่ที่น้อยมาก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการเดินทางไปยังพื้นที่อย่างเมืองอู่ฮั่นซึ่งประชากรท้องถิ่นไม่มีภูมิคุ้มกันโรค ก็ทำใหเกิดการแพร่เชื้อตามมา
แนวคิดนี้ถือว่าสอดคล้องกับแนวคิดว่าเชื้อไวรัสซาร์สประเภทหนึ่ง สามารถสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ให้กับไวรัสตระกูลซาร์สในประเภทอื่นๆได้เป็นอย่างยิ่ง และยังตอบคำถามด้วยว่าทำไมบางประเทศที่อยู่ห่างไกลจากประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาของไวรัสในตระกูลซาร์ส ประชาชนบางส่วนในประเทศนั้นๆถึงได้มีภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติที่สามารถป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 ได้
ข่าวการแบนตลาดค้าสัตว์ป่าในประเทศเวียดนาม (อ้างอิงวิดีโอจาก CNA)
หรือสรุปก็คือมีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดการแพร่กระจายของไวรัสในตระกูลซาร์สอันไม่เกิดให้เกิดโรค มาก่อนหน้านี้แล้วและเป็นเหตุทำให้ร่างกายของผู้รับเชื้อนั้นมีภูมิคุ้มกันที่จะส่งผลทำให้สามารถต้านทางไวรัสซาร์ส-2 อันเป็นต้นกำเนิดของโรคโควิด 19 ได้นั่นเอง
ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็มีการตั้งข้อสันนิษฐานตามมาอีกว่ากระบวนการคุ้มครองร่างกายจากการติดเชื้อนั้นอาจจะเกิดที่การทำหน้าที่ของระบบคิลเลอร์ทีเซลล์ (เซลล์ที่ฆ่าเซลล์อื่นๆในร่างกายมนุษย์ซึ่งติดเชื้อไวรัส) มากกว่าจะเป็นระบบสร้างสารภูมิคุ้มกันในร่างกาย (ระบบซึ่งป้องกันการติดเชื้อในร่างกายโดยจดจำไวรัสที่ติดเชื้อมาก่อนหน้านี้) ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็หมายความว่าการศึกษาและวิจัยที่ผ่านๆมานั้นยังคงละเลยต่อระบบการทำหน้าที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่นางสุเนตรา กุปตา นักวิทยาการระบาดมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้กล่าวว่าที่ผ่านมานั้นการสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อโควิด 19 จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้ติดเชื้อเป็นครั้งแรก ดังนั้นถ้าหากวัคซีนประสบความสำเร็จก็หมายความว่าต้องมีการฉีดวัคซีนให้กับประชากรขั้นต่ำจำนวน 50 เปอร์เซ็นต์ เพื่อป้องกันการปะทุของผู้ติดเชื้อโควิด 19
แต่ถ้าหากข้อสันนิษฐานเบื้องต้นนั้นเป็นความจริง ก็หมายความว่าจำนวนประชากรที่ต้องการวัคซีนอาจจะน้อยกว่าที่คิดมาก เพราะมีประชากรบางส่วนนั้นมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากโรคโควิด 19 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เรียบเรียงเนื้อหาและรูปภาพจาก:https://www.economist.com/science-and-technology/2020/07/22/the-hunt-for-the-origins-of-sars-cov-2-will-look-beyond-china
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage