
ผอ.การบินพลเรือนฉายภาพอุตสาหกรรมการบิน ชี้ปี 67 ยังไม่ฟื้นเท่าก่อนโควิด เผยจำนวนผู้โดยสารอยู่ที่ 140 ล้านคน ขณะที่ก่อนโควิดผู้โดยสารอยู่ที่ 165 ล้านคน ปัจจัยจากนักท่องเที่ยวจีนไม่กลับมา พร้อมแสดงความกังวลการใช้โดรน พบคนใช้เยอะ แต่ยังไม่มีกม.กำกับ มองไกลปี 2579 อุตสาหกรรมการบินไทยจะมีขนาดเป็นอันดับ 9 ของโลก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ (CAAT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ที่ผ่านมาว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย มีจำนวนผู้โดยสารจำนวน 140 ล้านคน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.12 เมื่อเทียบกับปี2566 ที่มีผู้โดยสาร 122 ล้านคน และมีการฟื้นตัวร้อยละ 85.14 เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ขณะที่ปริมาณเที่ยวบินในปี 2567 ในภาพรวมมีจำนวนมากถึง 8.8 แสนเที่ยวบิน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.90 เมื่อเทียบกับปี 2566 ส่วนปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศมีการเติบโตมากกว่าปี 2562 คิดเป็นร้อยละ 101.63 เมื่อเทียบกับปี 2562 และมีจำนวนมากกว่าปี 2566 ถึงร้อยละ 22.4
@ผู้โดยสารยังไม่กลับมาเท่าก่อนโควิดระบาด
ทั้งนี้ แนวโน้มอุตสาหกรรมการบินในปี 2568 มีทิศทางในการฟื้นตัวและจะสามารถกลับมาเติบโตได้ในระดับเดียวกันกับปี 2562 หรือมีผู้โดยสารเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 25 ล้านเที่ยว-คน ซึ่งเดิมคาดว่าปี 2567 อุตสาหกรรมการบินจะฟื้นกลับไปเท่ากับปี 2562 แต่เนื่องจากตลาดนักท่องเที่ยวหลักอย่างจีนยังไม่กลับมา ซึ่งมีหลายปัจจัย รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจของจีน แต่ก็มีผู้โดยสารจากตลาดอินเดีย สหรัฐ รัสเซีย และยุโรปเข้ามาเติม
“จากสถิติ ในปี 2562 มีจำนวนผู้โดยสาร 165 ล้านคน (นับรวมเข้าและออก) เป็นผู้โดยสารในประเทศ 76 ล้านคน ระหว่างประเทศ 90 ล้านคน หรือเท่ากับมี ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 45 ล้านคน กรณีนับ ว่าผู้โดยสาร 1 คน ต้องเดินทางเข้าและออก เท่ากับเป็น 2 เที่ยว-คน โดยใน 45 ล้านคน เป็นคนจีนถึง 10 ล้านคน ซึ่งปี 2567 ภาพรวมผู้โดยสาร 140 ล้านคน (ในประเทศ 62 ล้านคน เทียบปี 62 ฟื้นตัวร้อยละ 81 ระหว่างประเทศ 77 ล้านคน ฟื้นตัวร้อยละ 87 )” ผอ.การบินพลเรือนระบุ
ในด้านการออกใบอนุญาต สนามบินทั่วประเทศจำนวน 39 แห่ง ในปี 2567 CAAT ได้ออกใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะตามข้อกำหนดของสำนักงานการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เพิ่มเติมอีก 4 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี รวมกับก่อนหน้าที่ออกไปแล้ว รวมกับเดิมที่เคยออกไปแล้วเป็น 11 แห่ง ส่วนในปี 2568 คาดว่าจะออกใบรับรองได้อีกประมาณ 6 แห่ง และคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 4-5 ปี จะออกใบรับรองครบทั้ง 39 แห่ง
ส่วนการออกใบอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือน หรือ AOL ในปี 2567 เพิ่ม 3 ราย ได้แก่ บริษัทแอร์ เอเอ็มบี จำกัด , บริษัท บีบีเอ็น แอร์ไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัท ไทย แอร์โรสเปช อินดันทรีส์ จำกัด และต่ออายุ AOL 5 ราย ได้แก่ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ จำกัด , บริษัท ฟลายอิ้ง มีเดีย จำกัด , บริษัท ดรอปโซน (ไทยแลนด์) จำกัด , บริษัท สยามยามาฮ่ามอเตอร์โรโบทิคส์ จำกัด ,บริษัท ยูไนเต็ด ออฟชอร์ เอวิเอชั่น จำกัด
มีการออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ หรือ AOC ให้ 4 ราย ได้แก่ บริษัท พัทยา แอร์เวยส์ จำกัด ,บริษัท สยามซีเพลน จำกัด , บริษัท บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด , บริษัท ไทยซีเพลน จำกัด ทำให้มีสายการบินเข้ามาในตลาดการบินเพิ่มขึ้น แต่สายการบินยังไม่ได้ทำการบินเนื่องจาก มีปัญหาขาดแคลนดเครื่องบิน และมีการเพิกถอน AOC สายการบินไทยสมายลก์ เนื่องจากการควบรวมกิจการกับการบินไทย
ขณะที่จำนวนอากาศยานที่มีทะเบียนและได้รับใบสำคัญสมควรเดินอากาศสะสมจนถึงปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 656 ลำ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 47 ลำ คิดเป็นร้อยละ 4.46

@โดรนโตพุ่งแสนกว่าลำ แต่ยังไร้กม.ควบคุม
นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า ในปี 2567 การเติบโตของอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (โดรน) เพิ่มขึ้นจาก 8,544 ลำ เป็น 111,110 ลำ หรือเพิ่มขึ้นถึง 102,566 ลำ ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงมาก และคาดว่าในปี 2568-2569 จะมีเพิ่มขึ้นอีกเป็น 2-3 แสนลำ โดยเฉพาะโดรนสำหรับถ่ายภาพ ที่เพิ่มขึ้นเร็วมาก ปัจจุบัน CAAT มีเพียงกฎหมาย การจดทะเบียนโดรน ,ขึ้นทะเบียนผู้บังคับหรือปล่อยโดรน และการขออนุญาตทำการบินโดรน เท่านั้น เป็นกฎหมายควบคุมการใช้ เช่น ห้ามปล่อยโดรนใน รัศมี 9 กม.รอบสนามบิน หรือโดรน น้ำหนักน้อยกว่า 25 กก.ใช้ปฎิบัติการนอกพื้นที่สนามบินไม่ต้องขออนุญาต เป็นต้น
แต่ประเด็นที่ห่วงและยังมีช่องว่าง คือ กฎหมายควบคุมการมี ทำให้ตอนนี้ ใครๆ ก็สามารถซื้อ หรือนำเข้ามาโดยอิสระ ซึ่งหากผู้เป็นเจ้าของไม่นำไปจดทะเบียนจะทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งคาดว่ายังมีโดรนที่ไม่ได้จดทะเบียนเข้าสู่ระบบอีกเป็นจำนวนมาก นับแสนลำ ซึ่งเป็นข้อกังวล เพราะโดรนสามารถนำไปใช้งานที่เป็นประโยชน์ แต่ก็สามารถนำไปใช้ให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้
ผอ.การบินพลเรือนกล่าวว่า เรื่องการยกระดับกฎหมาย มี 2 แนวคิด คือ ภาคความมั่นคงและพลเรือน ร่วมกันสร้างกฎหมายใหม่ เพื่อดูแล กำหนดเป็นสินค้ายุทธภัณฑ์ เป็นต้น หรือ ให้ภาคพลเรือน โดย CAAT ออกกฎหมาย แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ ยังหารือและบูรณาการความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำเป็นโรดแมปของประเทศด้วย เพราะการมีโดรนผิดกฎหมายมากๆ จะเป็นตัวสกัดการพัฒนาประเทศได้
“ดังนั้น หากมองว่า โดรนนำไปใช้ประโยชน์ได้แต่ก็จะเป็นเครื่องมือที่นำไปใช้ให้เป็นภัยอันรายร้ายแรงได้ด้วย ก็ต้องมีการควบคุมการมีและการใช้ ซึ่งต้องมีการยกระดับกฎหมาย เพราะหากอนาคต มีจำนวนโดรนมากๆเป็นล้านตัว จะควบคุมไม่ได้ เพราะไม่จดทะเบียนในระบบ รัฐไม่สามารถติดตามได้” นายสุทธิพงศ์ระบุ
นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า โดรนสามารถนำไปใช้งานได้หลายรูปแบบ หลายวัตถุประสงค์ ขณะนี้มีเพียงกฎหมายโดรนสำหรับการเกษตรซึ่งออกมานานแล้ว เนื่องจากใช้ในพื้นที่ทุ่งนา มีผลกระทบน้อย แต่เมื่อมีการขยายการใช้งานโดรนในกิจกรรมอื่นๆ เช่น โดรนส่งอาหาร โดรนรับส่งผู้โดยสาร โดรนขนส่งสินค้า โดรน ส่งเอกสาร นอกจากดูตามวัตถุประสงค์ ต้องทำประชาพิจารณ์ เพราะมีผลกระทบต่อประชาชน เนื่องจากต้องบินเข้าในพื้นที่เมือง มีผลกระทบต่อประชาชน ต้องศึกษาแนวทางที่ไม่ส่งผลกระทบกระทบต่อประชาชนและไม่เกิดภัยต่อสาธารณะ ซึ่งก็ต้องกำหนดเส้นทางการบินของโดรน ว่า ต้องบินห่างจากอาคารเท่าไร เพื่อการใช้งานที่มีความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้มีโดรนในครอบครองนำมาจดทะเบียนกับ CAAT ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่ยุ่งยาก ขึ้นทะเบียนผ่านเวปไซด์ได้เลย เพื่อให้อยู่ในระบบตามกฎหมาย
@คาดปี 79 ไทยขึ้นอันดับที่ 9 ของโลก มีผู้โดยสารมาก
นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า ปี 2568 เป้าหมายคาดการณ์อุตสาหกรรมการบินจะกลับไปเท่าปี 2562 แต่ปัจจัยสำคัญคือ จำนวนเครื่องบินที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของสายการบิน ซึ่งการผลิต ของแอร์บัสและโบอิ้ง ไม่สามารถเร่งได้ทันกับความต้องการ เช่นเครื่องแอร์บัส A320 สั่งวันนี้ กว่าจะได้รับเครื่องอีก 15 แี เพราะความสามารถในการผลิตลดลง ดังนั้น หลายสายการบินหันไปใช้วิธีการเช่าใช้ ซึ่งมีหลายรูปแบบ ทั้งเช่าเครื่องเปล่า เช่าเครื่องบินพร้อมลูกเรือ หรือ เช่าเครื่องบิน พร้อทลูกรเือและการซ่อมบำรุงและประกันภัย
ซึ่งที่ผ่านมาช่วงปีใหม่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมลงนามในประกาศผ่อนปรน ตามประกาศกรมการขนส่งทางอากาศ อนุญาตเป็นเวลา 6 เดือนให้สายการบินใช้เครื่องบินเช่าพร้อมลูกเรือ ซึ่งมี สายการบินไทยเวียตเจท เช่า เครื่องบิน A 320 จำนวน 2 ลำ ทำการบินเส้นทาง กรุงเทพ-เชียงใหม่และ กรุงเทพ -ภูเก็ต และ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ เช่าเครื่องบิน ATR จำนวน 2 ลำ ทำการบินเสริมเส้นทาง กัมพูชาและสปป.ลาว
โดย ปัจจุบันตลาดอุตสาหกรรมการบินของไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 19 ของโลก และมีการคาดการณ์จากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ IATA ว่าตลาดการบินของไทยมีโอกาสขยายตัวจนขึ้นสู่อันดับที่ 9 ของโลกภายในปี 2576 ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นศูนย์กลางการบินที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาคและระดับโลกอย่างชัดเจน ดังนั้นแล้วหน่วยงานด้านการบินจะต้องเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการพัฒนาขีดความสามารถในการให้บริการ การรักษามาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล รวมทั้งต้องเร่งผลักดันโครงการสำคัญต่าง ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ขณะที่ผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาราคาตั๋วเครื่องบิน พบว่า มาตรการการเพิ่มเที่ยวบินพิเศษช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่สายการบินให้ความร่วมมือ และมีที่นั่งเพิ่มขึ้นกว่า 70,000 ที่นั่งนั้น ทำให้ตั๋วเครื่องบินมีราคาลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและผู้โดยสารเข้าถึงราคาตั๋วเครื่องบินได้มากขึ้น และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ CAAT ได้หารือ ร่วมกับสายการบินและผู้ให้บริการทุกหน่วยงานในการเตรียมมาตรการรองรับด้านต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการเดินทางและได้ราคาตั๋วเครื่องบินที่เหมาะสม


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา