
ครม.ไฟเขียว ‘ร่าง พ.ร.ก. ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี- ร่าง พ.ร.ก.ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล’ ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์-ชักชวนเล่นพนัน-หลอกลงทุน-สกัด‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’
................................
เมื่อวันที่ 8 เม.ย. นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... และร่าง พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....ที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ
สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้ตรวจพิจารณา และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม โดยเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และมิจฉาชีพ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีรายละเอียด ดังนี้
1.แก้ไขเพิ่มเติมในสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
(1) แก้ไขวันใช้บังคับโดยกำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (เดิม ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา)
(2) แก้ไขบทนิยามคำว่า “ผู้ประกอบธุรกิจ” โดยกำหนดให้มีความหมายรวมถึงผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและเพิ่มบทนิยามคำว่า “กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล” และ “บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์”
(3) เพิ่มเติมให้มีการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเลขที่กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล และเพิ่มเติมให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลการประกอบธุรกิจสินทรัพย์สินดิจิทัลเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการร่วมกับหน่วยงานอื่น เพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านระบบหรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล (เดิม ไม่ได้กำหนดไว้)
(4) เพิ่มเติมการกำหนดมาตรฐานหรือมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อคัดกรองจากข้อความที่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นข้อความที่เสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงซึ่งไม่ต้องกดเข้าไปอ่านเนื้อหาภายในข้อความนั้น เช่น ข้อความชักชวนให้เล่นการพนันออนไลน์ หรือข้อความที่หลอกลวงชักชวนให้นำเงินไปลงทุน (เดิม ไม่ได้กำหนดไว้)
(5) แก้ไขเพิ่มเติมมาตรการด้านการระงับการให้บริการโทรคมนาคม โดยกำหนดให้ชัดเจนว่า เมื่อปรากฎพยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการใช้บริการโทรคมนาคมเพื่อกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ต้องแจ้งให้ สำนักงาน กสทช. สั่งให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอื่น หรือผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง ระงับการให้บริการโทรคมนาคม (เดิม กำหนดให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอื่น ผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือสำนักงาน กสทช. แล้วแต่กรณี สั่งระงับการให้บริการหมายเลขโทรศัพท์)
(6) เพิ่มเติมการระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ผิดกฎหมายออกจากระบบคอมพิวเตอร์โดยกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือนำข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ผิดกฎหมายออกจากระบบคอมพิวเตอร์ได้ เมื่อปรากฎข้อมูลว่ามีผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (เดิม ไม่ได้กำหนดไว้)
(7) แก้ไขเพิ่มเติมการคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย โดยให้นำรายละเอียดที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอน รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายกำหนดไว้ในกฎกระทรวง และเพิ่มเติมการดำเนินการกรณีที่ไม่มีผู้เสียหายหรือผู้ที่เกี่ยวข้องมายื่นคำร้องภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ครบกำหนดที่ต้องยื่นคำร้องคัดค้าน หรือมีเงินที่เหลือภายหลังจากได้คืนเงินแก่ผู้เสียหายแล้ว ให้เงินดังกล่าวตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (แต่ไม่ตัดสิทธิเจ้าของเงินที่จะขอรับเงินคืนจากกองทุนป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน)
(8) แก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดภาระการพิสูจน์ของหน่วยงานเอกชน โดยให้หน่วยงานเอกชนมีภาระการพิสูจน์เพื่อไม่ต้องมีความรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าได้ปฏิบัติตามมาตรฐานหรือมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีกำหนดโดยหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่กำที่กำกับดูแลแล้ว (เดิม ไม่ได้กำหนดไว้)
(9) เพิ่มบทกำหนดโทษกรณีผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงินและผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ให้ระวางโทษปรับ เนื่องจากเป็นนิติบุคคล เพิ่มบทกำหนดโทษกรณีที่ที่ผู้แทนสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวต้องรับผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิ่มบทกำหนดโทษกรณีที่ผู้ซื้อเลขหมายโทรศัพท์หรือผู้ขายเลขหมายโทรศัพท์ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการลงทะเบียนให้แก่ผู้ใช้บริการ ลงทะเบียนไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่กำหนดโดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด (เดิม ไม่ได้กำหนดไว้)
2.ตัดหลักการที่กำหนดมาตรการห้ามการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม Peer-to-Peer (P2P) และตัดการกำหนดบทกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนโดยซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม P2P
3.ตัดบทกำหนดโทษกรณีการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะเป็นการพนันหรือพนันออนไลน์
4.เพิ่มเติมให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสัคม และกำหนดให้มีหน้าที่ เช่น แจ้งรายชื่อบุคคลหรือเลขที่กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
ส่วนสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่...) มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1.กำหนดวันใช้บังคับโดยให้ร่างพระราชกำหนดฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
2.กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ประกอบธุรกิจอยู่นอกราชอาณาจักรแต่ให้บริการแก่บุคคลซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรต้องได้รับอนุญาตตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลฯ
3.กำหนดลักษณะที่ถือว่าเป็นการให้บริการแก่บุคคลซึ่งอยู่ในราชอาณาจักร เช่น มีการแสดงผลโดยผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นภาษาไทย สามารถเลือกชำระเงินเป็นสกุลเงินบาท มีการรับชำระเงินผ่านบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย หรือมีเงื่อนไขให้ใช้กฎหมายไทยเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ธุรกรรมซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือกำหนดให้ดำเนินคดีในศาลไทย เป็นต้น
@ก.ล.ต.ชี้ร่าง พ.ร.ก. 2 ฉบับช่วยสกัด‘บัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัล’
ด้าน นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ร่วมกับสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ยกระดับการสกัดกั้นบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 และเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ได้ร่วมกันจัดทำมาตรการและออกมาตรฐานการป้องกันและจัดการบัญชีม้าของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Industry Standard ที่เทียงเคียงได้กับการจัดการบัญชีม้าของภาคการธนาคาร
การปรับปรุง พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ และ พ.ร.ก. อาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ ในครั้งนี้ จะทำให้การดำเนินมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเพิ่มความชัดเจนของกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งยกระดับมาตรการป้องกันการใช้แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศเป็นช่องทางฟอกเงิน
โดยสามารถดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่มีพฤติกรรมการชักชวนหรือโฆษณาการให้บริการ (solicit) กับผู้ลงทุนในประเทศไทย ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนเพิ่มความเข้มข้นและขยายความร่วมมือในการจัดการปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีระหว่างภาคธนาคาร ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมาตรการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ประกอบด้วย
(1) มาตรการจัดการบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัล
-กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล การคัดกรอง และระงับธุรกรรมหรือบัญชีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในลักษณะเดียวกับธนาคารพาณิชย์ รวมถึงอยู่ภายใต้กลไกการคืนเงินแก่ผู้เสียหายซึ่งจะทำให้ผู้เสียหายได้รับเงินคืนรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดรายชื่อบุคคลหรือเลขที่กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล (wallet) ที่เกี่ยวข้องอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (blacklist) และห้ามผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทำธุรกรรมกับบุคคลที่มีรายชื่อหรือกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลดังกล่าว
-กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์และโทรคมนาคม ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล มีความรับผิดชอบร่วมในความเสียหายที่เกิดจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหากมิได้ปฏิบัติตามมาตรฐานหรือมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนด
-กำหนดความผิดสำหรับเจ้าของบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับผู้รับจ้างเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ และเปิดบัญชีกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลก็จะได้รับโทษในระดับเดียวกัน
(2) มาตรการป้องกันการใช้แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศเป็นช่องทางฟอกเงิน
-กำหนดมาตรการยับยั้งและป้องกันไม่ให้แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแบบ Peer-to-peer (P2P) ในต่างประเทศ ซึ่งเข้าข่ายเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทอื่น ๆ ในต่างประเทศ เข้ามาให้บริการกับผู้ลงทุนในประเทศ
-กำหนดให้กระทรวงดีอี สามารถดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่มีพฤติกรรมการชักชวนหรือโฆษณาการให้บริการ (solicit) กับผู้ลงทุนในประเทศไทย ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
ทั้งนี้ การปรับปรุงกฎหมายใหม่จะช่วยเสริมให้การบังคับใช้กฎหมายกับแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศในปัจจุบันของ ก.ล.ต. มีประสิทธิภาพเข้มข้นขึ้น เนื่องจากมีการกำหนดพฤติกรรมที่เข้าข่ายเป็นการ solicit บุคคลในประเทศไทยที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น การมีทางเลือกชำระเงินเป็นสกุลเงินบาทแก่ผู้ลงทุน การรับชำระเงินผ่านบัญชีเงินฝากในประเทศไทย หรือการใช้ภาษาไทยบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน เป็นต้น
“ก.ล.ต. จะร่วมมือกับกระทรวงดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยว รวมทั้ง TDO และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ในการดำเนินการตามกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางในการฟอกเงิน และลดความเสียหายของประชาชนจากอาชญากรรมทางออนไลน์” เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา