
กสม.จี้นายกฯ-สพฐ.เร่งช่วยเหลือภารโรง-ธุรการโรงเรียน หลังมีการเปลี่ยนสัญญาจ้างงานจากลูกจ้างชั่วคราวตามสัญญาจ้างเหมาบริการ แล้วไม่มีประกันสังคม-กองทุนทดแทน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทย และเครือข่ายลูกจ้างนักการภารโรงสี่ภาค เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน จำนวนกว่า 9,000 อัตรา นักการภารโรง จำนวนกว่า 20,000 อัตรา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) (ผู้ถูกร้อง) ซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวตามสัญญาจ้างรายปี ได้รับผลกระทบจากการที่ สพฐ. ปรับเปลี่ยนสัญญาจ้างงานจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นการจ้างเหมาบริการ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (1 ตุลาคม 2567) เป็นต้นมา โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ไม่มีการเจรจาต่อรอง และใช้กฎระเบียบบีบบังคับให้ต้องลงนามรับสภาพ
การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างงาน ทำให้ได้รับความเดือดร้อน ถูกยกเลิกประกันสังคมตามมาตรา 33 ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกองทุนเงินทดแทน ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงไม่ได้รับสิทธิการลาป่วย การลาพักผ่อน ไม่มีเงินค่าเสี่ยงภัย ได้รับเงินเดือนล่าช้า จึงร้องเรียนขอความช่วยเหลือ
นายวสันต์กล่าวว่า กสม. เห็นว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าวสามารถแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วได้โดยการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อเดือนเมษายน 2568 กสม. จึงได้จัดประชุมร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ผู้ทรงคุณวุฒิ สพฐ. และผู้ร้องทั้งสองกลุ่ม เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาตามคำร้อง โดยปรากฏข้อเท็จจริง สรุปว่า ตำแหน่งธุรการโรงเรียนและตำแหน่งนักการภารโรง ได้รับเงินค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท และ 9,000 บาท หากหยุดงานจะถูกหักเงินวันละ 500 และ 300 บาท ตามลำดับ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนสัญญาจ้างจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นการจ้างเหมาบริการ แต่การปฏิบัติงานยังคงเป็นลักษณะเดิม กล่าวคือ มีการลงเวลาปฏิบัติงาน มีสายการบังคับบัญชา ต้องรับคำสั่งจากผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งเป็นลักษณะของการจ้างแรงงานมิใช่การจ้างเหมาบริการที่ประเมินผลเป็นชิ้นงานแต่อย่างใด
ในปี 2552 สพฐ. ได้รับงบประมาณสนับสนุนการจ้างลูกจ้างชั่วคราวจากโครงการไทยเข้มแข็ง (พ.ศ.2553-2555) จึงนำงบประมาณมาจ้างบุคลากรสายสนับสนุนการศึกษา ภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ สพฐ. ได้จ้างผู้ร้องทั้งสองกลุ่มเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งงบประมาณในหมวดงบดำเนินงานตามกรอบอัตรากำลัง เพื่อนำงบประมาณมาจ่ายสมทบค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนให้แก่ผู้ร้องทั้งสองกลุ่ม โดยไม่ได้ทำข้อตกลงกับกรมบัญชีกลางก่อนการจ้าง ซึ่งไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 ตามหลักการงบประมาณการจ้างลูกจ้างชั่วคราวต้องจัดทำคำของบประมาณในหมวดบุคลากร ต่อมาสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ท้วงติงว่ากรณีดังกล่าวเป็นการใช้งบประมาณไม่ถูกหมวด จึงได้เสนอแนะให้จัดทำคำของบประมาณในการจ้างลูกจ้างให้ถูกต้องตามหมวด อย่างไรก็ดี เมื่อ สพฐ. ยังไม่ได้จัดทำข้อตกลงกับกรมบัญชีกลาง จึงไม่สามารถจัดทำคำของบประมาณเพื่อสมทบการจ่ายค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนได้ ดังนั้น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ผู้ถูกร้องจึงตั้งงบประมาณการจ้างผู้ร้องทั้งสองในหมวดงบรายจ่ายอื่นไปพลางก่อน จึงทำให้รูปแบบของสัญญาจ้างเปลี่ยนไป เป็นในลักษณะของสัญญาจ้างเหมาบริการ
นายวสันต์กล่าวต่อไปว่า กรณีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว สพฐ. ผู้ถูกร้อง ได้หารือไปยังกรมบัญชีกลาง สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และได้ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาลักษณะงาน โดยมีแผนเสนออัตราบุคลากรเพื่อทำข้อตกลงเป็นลูกจ้างชั่วคราวกับกรมบัญชีกลาง แยกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ลักษณะงานวิชาการเช่นเดียวกับข้าราชการกว่า 44,600 อัตรา และกลุ่มที่ 2 นักการภารโรง แม่ครัว กว่า 27,500 อัตรา ผู้ถูกร้องได้ทำหนังสือแจ้งกรมบัญชีกลางเมื่อเดือน เมษายน 2568 โดยกรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติคำขออัตรากำลังลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ได้พิจารณาผลการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแล้ว เห็นว่า กรณีดังกล่าว สพฐ. ผู้ถูกร้องได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาและจัดทำข้อมูลลักษณะการปฏิบัติงานในตำแหน่งธุรการโรงเรียนและนักการภารโรงส่งไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว อย่างไรก็ดี เพื่อเป็น
การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จึงมีมติให้ดำเนินการดังนี้
(1) มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้พิจารณาจัดสรรงบประมาณสำหรับการจ้างงานลูกจ้างกลุ่มเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน และนักการภารโรง เป็นลูกจ้างชั่วคราวเช่นเดิม พร้อมทั้งสมทบค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน เพื่อเป็นการเยียวยาในระยะเร่งด่วน
(2) มีหนังสือถึงสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ( คปร. ) เพื่อยืนยันหลักการด้านสิทธิแรงงาน ตามที่ได้รับการรับรองคุ้มครองไว้ตามรัฐธรรมนูญ กติการะหว่างประเทศ และหรือหลักการอื่นและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา
(3) มีหนังสือถึง สพฐ. ผู้ถูกร้อง ให้กำชับติดตามความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา