
ภูมิธรรม-บิ๊กเล็ก ประสานเสียงโต้อดีตแม่ทัพภาค 2 คนดัง หลังออกมาแฉ กรณีสู้รบไทย-กัมพูชา มีผู้สั่งให้หยุดยิงหลังปะทะเดือด 6 ชม. คาดผิดแผนเขมร เลยสั่งให้หยุด ยืนยันไม่ได้สั่งให้หยุดรบ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 จากกรณีนางสาวอัญชะลี ไพรีรัก ผู้สื่อข่าวอาวุโสสัมภาษณ์ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบกนั้น
ช่วงหนึ่ง พล.ท.บุญสิน เปิดเผยเหตุการณ์ปะทะกับทหารกัมพูชา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ว่า มีคำสั่งให้หยุดตั้งแต่ 6 ชั่วโมงแรก ซึ่งคำสั่งดังกล่าวออกมาให้ 6 ชั่วโมงแรกหยุดเลย ตั้งแต่เริ่มปะทะกันปุ๊บ ให้หยุดเลย 6 ทุ่ม (00.00 น.) วันแรกที่ปะทะกัน มีการบอกว่า ขอร้องให้หยุดเลย แต่ส่วนตัวไม่หยุด เพราะออกสตาร์ทแล้ว
พล.ท.บุญสิน กล่าวต่อว่า ได้ขอร้องผู้บังคับบัญชาว่าไม่หยุด ขอต่อรองไปหลายวัน บวกลบคูณหารบอกว่าเท่านี้ได้ไหมๆ ก็ตอบว่าไม่ได้ครับ ขอไปต่อก่อน เพราะเข้าเกียร์ 1 แล้ว
นางสาวอัญชะลีถามว่า พอไม่หยุด คนที่สั่งไม่ว่าเหรอ พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ก็ไปตั้งหลักใหม่ ก็แค่นั้นแหละครับ ถ้าหยุด ก็ต้องออกมาพูดว่าใครสั่งให้หยุด แล้วคนที่สั่งจะอยู่ไม่ได้ครับ เพราะว่าจะเอาแผ่นดินคืน แล้วคุณไม่หยุดนี่ นั่นคือโทษประหารคุณเลยทีเดียวนะครับ
เมื่อถามต่อว่าได้ถามเหตุผลที่สั่งให้หยุดหรือไม่ พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า คิดว่าผิดแผนเขมร คิดว่าเขมรเคยทำแบบนี้แล้วเข้าทางไงครับ เพราะกัมพูชาจะเอาเรื่องนี้ขึ้นศาลโลก ขึ้นศาลโลกเสร็จ ประเทศไทยบุกกัมพูชาใช่มั้ย ตายไป 3 คนแล้วนี่ งั้นกัมพูชาขอประท้วงเอาแผ่นดินคืน 3 ปราสาทกับ 1 พื้นที่ นี่สูตรของประเทศกัมพูชา แม่ทัพกุ้งก็ไปรู้อีก รู้แผนประเทศกัมพูชาอีก ก็เลยไหนๆ 3 พื้นที่นี้ไม่ให้ เอาคืนอีกเพิ่มเติมแล้วกัน
@ภูมิธรรมปัดสั่งหยุดยิง โยนทหารบัญชาการหน้างาน
นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ในฐานะ ผู้เคยปฏิบัติหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลด้านความมั่นคง และประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ผมเห็นว่าควรนำข้อเท็จจริงจากช่วงเวลานั้นมาอธิบายให้ประชาชนได้รับทราบอย่างชัดเจนดังนี้
1. หลังจากเกิดเหตุความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา รัฐบาลในขณะนั้นได้เรียกประชุม สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่ประชุมได้มีการหารืออย่างรอบคอบ และมีมติสำคัญคือ “มอบอำนาจให้กองทัพสามารถตัดสินใจได้ตามหลัก Rules Of Engagement (ROE)” ซึ่งหมายความว่า กองทัพไทยมีอำนาจเต็มในการตัดสินใจเชิงยุทธวิธี เพื่อป้องกันประเทศตามสถานการณ์ในพื้นที่ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากฝ่ายการเมือง
2.การปฏิบัติการป้องกันประเทศในครั้งนั้นมีสองระดับที่ชัดเจน คือ ระดับนโยบาย (รัฐบาล) กำหนดกรอบยุทธศาสตร์และแนวทางทางการเมือง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระดับปฏิบัติ (กองทัพ) เป็นผู้ดำเนินการตามหลักยุทธวิธีและ ROE ที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจาก สมช.
ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า “มีคำสั่งหยุดยิงจากฝ่ายการเมือง” ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะในห้วงเวลานั้น กองทัพได้รับอำนาจในการปฏิบัติอย่างอิสระ ภายใต้กรอบกฎหมายและกติกาสากล
3. ตลอดช่วงสถานการณ์ มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่าง สมช. กระทรวงกลาโหม และกองทัพภาคที่เกี่ยวข้อง โดยสมช. ทำหน้าที่ “กำหนดทิศทางและเป็นศูนย์รวมข้อมูล” ให้รัฐบาลใช้ตัดสินใจในเชิงนโยบาย ในขณะที่หน่วยปฏิบัติได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายและเสรี ในการปฏิบัติหน้าที่ ผ่านกลไกของกฎอัยการศึกเฉพาะพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับสามารถทำงานได้เต็มศักยภาพ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องผลทางกฎหมายภายหลัง
ทั้งนี้ ในกระบวนการขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวในข้างต้น รัฐบาลในขณะนั้นมีหลักการสำคัญ โดยยึดมั่นในสันติวิธีตามหลักสากลและการเคารพอธิปไตยของแต่ละประเทศ แต่จะไม่ยอมให้ใครละเมิดแผ่นดินไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว และทุกการตัดสินใจอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและกลไกความมั่นคงของรัฐ
ที่ผ่านมา ในช่วงที่ผมเป็นรมว.กลาโหมได้ทำงานประสานกับผู้นำเหล่าทัพต่างๆ อย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีการหารือ และรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบคอบ
ผมเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของผู้นำเหล่าทัพทุกท่าน ทำให้ภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศผ่านไปด้วยความราบรื่น และอำนวยประโยชน์ให้ประเทศอย่างสูงสุด โดยยึดหลักความรับผิดชอบ โปร่งใส และคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ทุกการตัดสินใจในช่วงเวลานั้น มีจุดยืนเพียงหนึ่งเดียวคือ “ปกป้องอธิปไตยของไทย ด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และ หลีกเลี่ยงความรุนแรงเพื่อลดความสูญเสียของกำลังพลและพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนให้ได้มากที่สุด”
@รมว.กลาโหมยัน ไม่เคยสั่งหยุดยิง
ด้านพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงกรณีเดียวกันว่า “ขอยืนยันว่า ผมไม่ใช่คนสั่งให้หยุดยิงวันแรก ซึ่งคำว่าวันแรก คือการสู้รบ 24 ก.ค. ซึ่งผมไม่มีการสั่งการอะไรทั้งสิ้น ได้แต่เฝ้าติดตามอย่างเดียว ผมจำได้ว่าวันนั้นได้พูดกับสื่อว่า ได้มอบอำนาจให้กับคณะผู้บัญชาการทางทหาร ที่มี ผบ.ทหารสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะ”
เมื่อถามย้ำว่าทราบหรือไม่ว่าผู้สั่งการคือใคร พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ต้องไปถามคนพูด หากถามตนเองก็ไม่ทราบ และไม่ทราบว่าใครเป็นคนพูด ขอให้ไปถาม พล.ท.บุญสิน เอง
ส่วนกระแสที่เกิดขึ้นรู้สึกกดดันหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่มีความกดดัน
เมื่อถามว่าการมีกระแสข่าวดังกล่าวออกมาจะส่งผลเสียต่อประเทศหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องไปถาม พล.ท.บุญสิน ทำไมถึงพูดแบบนั้น เพราะเท่าที่เคยพูดกับ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ก็บอกว่าไม่มีใครสั่ง
พล.อ.ณัฐพล กล่าวอีกว่า “ก่อนที่ พล.ท.บุญสิน จะเกษียณฯ ประมาณวันที่ยี่สิบกว่าๆ เดือน ก.ย.ที่ผ่านมา คาดว่าน่าจะเป็นงานของ วปอ. ผมได้พบกับ พล.ท.บุญสิน , ผบ.ทบ. และ เสธ.ทบ. ซึ่งได้ยิน พล.ท.บุญสิน พูดมาตลอดว่าจะเอาคืนๆ จึงถาม พล.ท.บุญสิน ว่า ได้เตรียมการแล้วใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นทำให้เสร็จก่อนเกษียณฯ นะ แต่จนเกษียณฯ ก็ไม่พบว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น
เมื่อถามว่า กระแสข่าวดังกล่าวมีการพุ่งเป้าไปที่ชื่อ นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ รักษาการนายกฯ ในขณะนั้น ได้มีการสั่งการผ่าน พล.อ.ณัฐพล หรือไม่นั้น พล.อ.ณัฐพล ยืนยันว่า “ที่ผมอยู่ในเหตุการณ์ ไม่มีครับ”
ที่มาภาพปก: บุญนิยมทีวี

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา