"...มีข้อสังเกต ว่า การที่นำเงินหลวง แม้ว่าจะเป็นเงินนอกงบประมาณมาใช้ มีกระบวนการชัดเจน มีการตัดสินใจได้อย่างไร ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นตัดสินใจได้เองหรือไม่ ไม่มีกระบวนการตรวจสอบที่ชัดเจนเพื่อความปลอดภัยและโปร่งใสในการตัดสินใจของผู้มีอำนาจตัดสินใจ และหากตัดสินใจไปแล้วขาดทุน 1,000 กว่าล้านบาท ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ..."
กรณีปัญหาข้อพิพากเงินกู้ยืมจำนวน 1,453 ล้านบาท ตามสัญญากู้ลงวันที่ 19 ม.ค.2541 ที่ปรากฏข่าว สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก หรือ ช่อง 5 ได้ทำหนังสือแจ้งให้บริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวคืนมาเป็นระยะๆ แต่ยังไม่ได้รับเงินกู้คืนครบถ้วนตามจำนวนนั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำข้อมูลเชิงลึกมาเสนอไปแล้วว่า
1. ในช่วงเดือน ต.ค.2567 ที่ผ่านมา บริษัท อาร์ทีเอฯ ได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเงินกู้วงเงิน 1,453 ล้านบาท ต่อ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ยืนยันว่า บริษัท อาร์ทีเอฯ ไม่ได้มีนิติสัมพันธ์กับสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกอย่างเจ้าหนี้ลูกหนี้แต่ประการใด และไม่ตกเป็นลูกหนี้เงินกู้ตามที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกกล่าวอ้างด้วย
บริษัท อาร์ทีเอฯ ให้เหตุผลว่า เนื่องด้วยพฤติการณ์ในทางกฎหมายรับฟังเป็นที่ยุติว่าเอกสารสัญญากู้ดังกล่าวเป็นการจัดทำขึ้นระหว่างบุคคลคนเดียวกัน คือ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานกรรมการบริหารกิจการโทรทัศน์กองทัพบก ได้มอบให้สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานในสายบังคับบัญชาของกองทัพบกและมีนายทหารในราชการของกองทัพบกเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ให้นำเงินจำนวน 1,453 ล้านบาท ออกให้บริษัท ททบ.5 จำกัด ในขณะนั้นหรือบริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน เพื่อนำเงินจำนวนดังกล่าวไปซื้อหุ้นธนาคารทหารไทยเพื่อช่วยแก้ไขวิกฤตของธนาคาร โดยที่ในขณะนั้นธนาคารทหารไทยมีกองทัพบกเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงเงินทุนเรือนหุ้น (capital stock) ของธนาคาร
บริษัท อาร์ทีเอฯ ยังยืนยันว่ามีสถานะเป็นตัวแทนเชิด ในการเข้าถือครองหุ้นธนาคารทหารไทยด้วยวิธีการนำเงินจากช่อง 5 หรือกองทัพบกจำนวน 1,453 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นธนาคารทหารไทย และพร้อมจะหาทางออกร่วมกันกรณีถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบด้วย
ขณะที่ในคำชี้แจงดังกล่าว มีการระบุว่า "หากท่านประสงค์ที่จะให้บริษัทฯ ยุติการเป็นตัวแทนเชิดของท่าน บริษัทฯ มีความยินดีที่จะโอนคืนหุ้นธนาคารทหารไทยซึ่งปัจจุบันถือครองในหุ้นจำนวน 142,041,694 หุ้น คิดเป็นเงินจำนวน 248,572,964.50 บาท โดยคำนวณ ณ ราคาปิดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 หรือ หากท่านประสงค์จะให้บุคคลอื่นถือหุ้นจำนวนดังกล่าวแทน บริษัทฯ ยินดีดำเนินการเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นตามความประสงค์ของท่านต่อไป อนึ่ง บริษัทฯ ขอเรียนให้ท่านทราบว่าในระหว่างการถือครองหุ้นโดยบริษัทฯ นั้น ท่านไม่ได้ให้อำนาจในการเข้าดำเนินการอย่างใดๆ กับหุ้นอันหมายความรวมถึงการจัดให้มีกลยุทธ์ในการซื้อขายหุ้นเพื่อรักษามูลค่าการลงทุนจำนวนเงิน 1,453,000,000 บาท จึงเป็นเหตุให้มูลค่าต่อหุ้นจากราคา 10 บาทต่อหุ้น ลดลงเหลือ 1.75 บาทต่อหุ้น อันเป็นไปตามกลไกและปัจจัยในตลาดทุนตามปกติโดยทั่วไปจึงส่งผลให้ปัจจุบันเงินลงทุนของท่านคงเหลือน้อยกว่าเงินลงทุนในห้วงเวลาแรกในคราวปี พ.ศ. 2541"
จากคำชี้แจงดังกล่าวเท่ากับว่า ปัจจุบันมูลค่าเงินกู้จำนวน 1,453,000,000 บาท ลดลงเหลือจำนวน 248,572,964.50 บาท มีความเสียหายเกิดขึ้นแล้วกว่า 1,204,427,035.5 บาท จากมูลค่าหุ้นที่ลดลงในปัจจุบัน
2. รายละเอียดในสัญญาเงินกู้ยืมจำนวน 1,453 ล้านบาท ลงวันที่ 19 ม.ค.2541 ดังกล่าว ระบุว่า
(1.) การให้กู้ยืมดังกล่าว กำหนดระยะเวลาทั้งสิ้น ไม่เกิน 12 ปี เริ่มนับวันแรกตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค.2541 เป็นต้นไป
(2.) ไม่มีการคิดดอกเบี้ยแต่ประการใด
(3.) ในสัญญาเงินกู้ฉบับนี้ มิได้มีการระบุเหตุผลเรื่องการนำเงินจากช่อง 5 หรือกองทัพบก จำนวน 1,453 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นธนาคารทหารไทยไว้แต่อย่างใด
3. หลังการทำสัญญากู้ยืมเงินลงวันที่ 19 ม.ค.2541 มีการทำบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมสัญญากู้เงิน จำนวน 3 ครั้ง เป็นกรณีคู่สัญญาตกลงให้ขยายเวลาการชำระหนี้ออกไปอีก จากวันที่ 18 ม.ค.2553 มาเป็นการครบกำหนดวันที่ 8 ม.ค.2568 ในช่วงทำสัญญาให้กู้ยืมเงินครั้งแรก จนถึงการทำบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมสัญญากู้เงินครั้งที่ 3 อยูาในช่วงการดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก 4 คน คือ พลเอก เชษฐา ฐานะจาโร ,พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา , พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์
ขณะที่ในการทำบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมสัญญากู้เงินทั้ง 3 ครั้งดังกล่าว มิได้มีการระบุเหตุผลเรื่องการนำเงินจากช่อง 5 หรือกองทัพบก จำนวน 1,453 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นธนาคารทหารไทยไว้แต่อย่างใด
- ช่อง 5 ทวงคืนเงินกู้1.4 พันล. อาร์ทีเอฯ ปฏิเสธ-อ้างเป็นตัวแทนนำเงินออกซื้อหุ้นธ.ทหารไทย
- เปิดชัดๆ คำชี้แจง บ.อาร์ทีเอฯ ยันเป็นตัวแทนเชิด ช่อง 5 ไม่ใช่ลูกหนี้เงินกู้ 1.4 พันล.
- โชว์สัญญาเงินกู้ 1.4 พ้นล. อาร์ทีเอฯ ยันเป็นตัวแทนเชิดช่อง 5 นำเงินออกซื้อหุ้นธ.ทหารไทย
- เส้นทางเงินกู้ 1.4 พันล.ช่อง 5 ทำสัญญา-แก้ไข ยุค 4 ผบ.ทบ.'เชษฐา-อนุพงษ์-ประยุทธ์-อภิรัชต์'
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาการประมูลสัมปทานสถานีโทรทัศน์ จนมาถึงข้อพิพากเงินกู้ยืมจำนวน 1,453 ล้านบาท ตามสัญญากู้ลงวันที่ 19 ม.ค.2541 ผ่านรายการ #ถกประเด็น FM 96.5 มีรายละเอียดสำคัญหลายส่วน
สำนักข่าวอิศรา เรียบเรียงข้อมูลมานำเสนอ ณ ที่นี้อีกครั้ง
นายประสงค์ กล่าวว่า เรื่องนี้เริ่มต้นจากการที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งขณะนั้นยังเป็น สส. อยู่ ได้นำเรื่องนี้มาอภิปรายในสภาฯ ตั้งข้อสังเกตว่า ทําไมกองทัพบกมีการให้เงินกู้กับบริษัทเอกชน คือ RTA Entertainment ได้อย่างไร เป็นเงินหลายล้าน เพื่อให้มีตรวจสอบ แต่ก็ไม่ได้มีคําชี้แจง
@ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ขณะที่สำนักข่าวอิศรา หยิบยกประเด็นดังกล่าวมาขยายผลต่อ โดยมีการเปิดงบการเงินของบริษัท บ.อาร์ทีเอฯ มาแจกแจงว่า เป็นการเงินกู้ระหว่างกองทัพกับบริษัทลูก คือ บ.อาร์ทีเอฯ แต่ก็ไม่มีคำตอบจากกองทัพบกอย่างเป็นทางการ ถึงที่มาที่ไปของเงินก้อนดังกล่าว
"พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก ก็น่าจะต้องทราบเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีคําตอบ ต่อมาในยุคพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งดำรงตำแหน่งทั้งผู้บัญชาการทหาบก นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ไม่มีการอธิบายชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าว รวมถึงพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดาด้วย ทั้ง 3 ป. ต่างเคยเป็นอดีตผู้บัญชาการกองทัพบก เคยอยู่ในวังวนนี้แล้วทั้งนั้น แต่กลับไม่ได้อธิบายหรือชี้แจงอะไรเลย"
- โชว์รายได้ 88 ล.หนี้เงินกู้1.2 พันล.! ข้อมูล บ.ทหาร 'RTA-Entertainment' ที่ ธนาธร กล่าวถึง
- ไขปริศนาหนี้1.2พันล้าน บ.ทหาร ’RTA’ - เคยถูกสอบผูกขาดเช่าเวลาช่อง 5 ยุค ’แม้ว’
- ชัดๆ หนี้1.2พันล้าน ‘บ.ทหาร RTA’ กองทัพบก ให้กู้ตั้งแต่ปี45-ไร้ดอกเบี้ย
- เช็คสถานะธุรกิจ‘บ.ทหาร RTA’ ผลิตรายการททบ.5ปี 61กำไร11.09 ล.-ขาดทุนสะสมบักโกรก 1,061 ล้าน
“จนกระทั่งความมันแตกอีกรอบหนึ่ง ปรากฏข้อมูลว่า มีการกู้ยืมเงินครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2541 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 27 ปีแล้ว หนี้ก้อนนี้ก็ยังเคลียร์ไม่ได้ เรียกได้ว่า เป็นมหากาพย์เรื่องใหญ่ในกองทัพ วิทยุและโทรทัศน์ของทหาร ในสมัยก่อน เรียกว่า แดนสนธยา เพราะว่ามีผลประโยชน์ในช่วงที่ทีวีและวิทยุยังรุ่งเรือง สามารถสร้างรายได้มหาศาลให้กับกองทัพและคนในกองทัพ” นายประสงค์ กล่าว
นายประสงค์ กล่าวยกตัวอย่างถึงการประมูลสัมปทานสถานีโทรทัศน์ว่า สมมติว่ามีการประมูลสัมปทานสถานีโทรทัศน์ที่ 5 ล้านบาท แต่จริงๆ ไม่ใช่แค่ 5 ล้านบาท ยังมีพิเศษมากกว่าวงเงินที่มีการแจ้งประมูล และเมื่อประมูลเสร็จ เงินก้อนดังกล่าวไม่ได้เข้าคลัง เพราะถือเป็นเงินนอกงบประมาณของกองทัพ
"กองทัพบกเป็นเจ้าของสัมปทานเกือบ 200 สถานี ก่อนที่จะมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ในปี 2541 ในช่วงนั้นมีโทรทัศน์ 2 ช่อง คือ ช่อง 5 และช่อง 7 ในขณะนั้นมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 และมี พ.ร.บจัดสรรคลื่นความถี่ แต่ยังไม่มีการจัดตั้ง กสทช. ต่อมาคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้มีนโยบายห้ามต่อสัญญาสถานีแต่ละแห่งเกินหนึ่งปี ซึ่งออกเป็นมติ ครม."
"แต่ในปี 2541 ได้ให้มีการประมูลต่อสัญญาช่อง 7 อีก 25 ปี ซึ่งผูกขาดกับ บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด ซึ่งผมได้มีโอกาสได้สัญญา และเปิดเผยงบการเงินบริษัทเอกชนที่บริหารช่อง 7 อยู่ ข้อมูลระบุว่า มีรายได้ปีละเป็นหมื่นล้านบาท โดยในสัญญาปีแรก ได้มีการจ่ายเงินให้กับกองทัพบก จำนวน 150 ล้านบาท นี่คือข้อเท็จจริง และเป็นหนึ่งในกรณีของความดำมืดในวงการโทรทัศน์"
ในส่วนของเส้นทางการกู้ยืมเงินของบริษัท อาร์ทีเอฯ นั้น
นายประสงค์ เริ่มต้นอธิบายว่า ในปี 2540 เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง สถาบันการเงินระเนระนาดหมด รวมทั้ง ธนาคารทหารไทย ซึ่งกองทัพบก เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยในปี 2541 ธนาคารทหารไทย ประสบปัญหาสภาพคล่อง
"กองทัพบก มีเงินนอกงบประมาณสะสมจำนวนมาก จึงนำเงินก้อนนี้มาเพิ่มทุนให้กับธนาคารทหารไทย เหมือนเอาน้ำหยดลงบนไปในทะเลทราย เพราะเพิ่มทุนแค่ 1,000 ล้านบาท แต่ความเสียหายขณะนั้นไม่รู้เท่าไหร่ ปัญหากระบวนการตัดสินใจ ตัดสินใจได้อย่างไร เป็นเงินหลวงนะ แม้จะเป็นเงินนอกงบประมาณ และที่รู้มีอยู่ 5-6 คนเท่านั้นที่ตัดสินใจกัน"
นายประสงค์ กล่าวว่า ในส่วนของเงินนอกงบประมาณของกองทัพบก ผู้มีอำนาจ คือ ผู้บัญชาการทหารบก ต่อมาได้นำมาให้ช่อง 5 ปล่อยให้ บ.อาร์ทีเอ กู้จำนวน 1,500 ล้าน แต่ไม่ได้เขียนว่าจุดประสงค์การให้กู้ และเพื่อให้เกิดการสมดุล ได้มีตั้งสถานีดาวเทียม (ไทยทีวีโกลบอลเน็ตเวิร์ก) และขอกู้กับธนาคารทหารไทยกลับมา เป็นจำนวนหนึ่ง เพื่อหักลบกลบหนี้ แต่ในขณะนั้นไม่มีใครรู้ ว่ากู้ไปเพิ่มทุน และในเอกสารนั้น ไม่ได้ระบุจุดประสงค์ในการกู้ ต่อมาได้มีการแก้ไขสัญญา ขยายเวลาใช้คืนไปเรื่อย แต่ยังจ่ายคืนไม่ได้อีก
"จนถึงปี 2567 ผอ.ช่อง 5 ได้มีการทำหนังสือทวงหนี้จาก บ. อาร์ทีเอ ถึง 2 ฉบับ และได้มีหนังสือตอบกลับจาก บ.อาร์ทีเอ ว่า เป็นบริษัทที่จัดตั้งโดยกองทัพบก ดังนั้น บ.อาร์ทีเอ เป็นบริษัทลูกของกองทัพ และอ้างว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน โดยการกู้เงิน เพื่อเป็นช่วยเหลือวิกฤตของธนาคารทหารไทย โดยการเพิ่มทุน แต่กองทัพบก ไม่สามารถให้กู้เองได้ จึงให้กู้ผ่านช่อง 5 ไปยังบริษัท อาร์ทีเอฯ ดังนั้น บริษัท อาร์ทีเอฯ จึงเป็นแค่ตัวแทน และการกู้ยืมไม่ใช่การกู้ยืมทางการค้าทั่วไป แต่ในทางกฎหมาย บริษัทแม่ และบริษัทลูก ไม่ถือว่าเป็นบุคคลเดียวกันแต่อย่างใด"
สำหรับ บริษัท อาร์ทีเอฯ เป็นบริษัททำการตลาดให้กับช่อง 5 ในช่วงที่สามารถซื้อขายเวลาออกอากาศได้ แต่ในขณะนี้ ขายไม่ได้ ซึ่งงบการเงินของบริษัท อาร์ทีเอ ก็ขาดทุนอยู่
นายประสงค์ กล่าวว่า ไม่รู้ว่า บทสรุปของหนี้ 1,400 ล้านบาท จะทำอย่างไรต่อไป เพราะไม่เคยมีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ว่า เงินที่กู้ยืมนำไปซื้อหุ้น ในขณะนี้ราคาหุ้นตก ซึ่งหากขายหุ้น ณ ตอนนี้ ก็ถือว่าขาดทุน
ทั้งนี้ มีข้อสังเกต ว่า การที่นำเงินหลวง แม้ว่าจะเป็นเงินนอกงบประมาณมาใช้ มีกระบวนการชัดเจน มีการตัดสินใจได้อย่างไร ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นตัดสินใจได้เองหรือไม่ ไม่มีกระบวนการตรวจสอบที่ชัดเจนเพื่อความปลอดภัยและโปร่งใสในการตัดสินใจของผู้มีอำนาจตัดสินใจ และหากตัดสินใจไปแล้วขาดทุน 1,000 กว่าล้านบาท ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
นายประสงค์ ฝากการบ้านไปถึงกองทัพบก โดยผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ว่า ต้องออกมาชี้แจงเรื่องนี้ โดยรวบรวมข้อมูลโดยละเอียดถึงที่มาที่ไปอย่างเป็นทางการคืออะไร ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ปัญหาคืออะไร สอง ถ้าจะแก้ปัญหานี้อย่างถูกต้องอย่างไร สาม การตัดสินใจที่ผ่านมา ถ้าเป็นข้อผิดพลาด ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะดำเนินการอย่างไร
"ผู้บัญชาการทหารบกต้องรับที่จะแก้ปัญหา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทำไมถึงนั่งทับปัญหาอยู่ตั้งนาน ต้องให้นักข่าวไปไล่ล่าคำตอบหรือเปล่า เป็นหน้าที่ของท่านหรือเป็นหน้าที่ของนักข่าวที่ต้องไปไล่ล่าคำตอบจากท่าน ต้องแก้ปัญหาอย่างผ่าเผย เป็นชายชาติทหาร"ผอ.สถาบันอิศรากล่าวทิ้งท้าย
**************
อนึ่งเกี่ยวกับกรณีนี้ สำนักข่าวอิศรา ได้พยายามติดต่อขอสัมภาษณ์ตัวแทน กองทัพบก, ช่อง 5 ให้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว แต่ยังไม่ได้รับทราบคำชี้แจงเป็นทางการแต่อย่างใด
ขณะที่มีรายงานข่าวแจ้งว่า คณะกรรมาธิการสามัญชุดหนึ่งของรัฐสภา เตรียมที่จะเชิญตัวแทนจากช่อง 5 มาชี้แจงข้อมูลเรื่องนี้เป็นทางการแล้ว หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม สำนักข่าวอิศรา จะนำมาเสนอต่อไป