ป.ป.ช.ภาค 9 แถลงมติคณะกรรมการชุดใหญ่ ชี้มูลความผิดจนท.รัฐ 5 จังหวัดใต้ 'ประจักษ์ ช่างเรือ' ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่ศึกษาประถมศึกษาตรัง โดนคดีรถหลวง - ผอ.โรงเรียนสุไหงโก-ลก -พวก /ผอ.ฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ ที่ 6 เจอเรื่องเรียกเงิน-อดีตนายกเทศฯ เขาเจียก จัดเก็บนำส่งเงินค่าธรรมเนียมขนขยะมูลฝอยไม่เป็นไปตามระเบียบ - นายกอบต.ท่าธง จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน เผยนายกอบจ.ปัตตานี เลื่อนรายงานตัวสู้คดีรถหลวง 7 ครั้ง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภาค 9 ได้เผยแพร่ข่าวมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ชี้มูล 5 คดีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิดในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ มีรายละเอียดดังนี้
จังหวัดตรัง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายประจักษ์ ช่างเรือ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 นำรถยนต์ส่วนกลางไปใช้เสมือนว่าเป็นรถประจำตำแหน่ง
จังหวัดนราธิวาส
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายนิรัตน์ นราฤทธิพันธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนสุไหงโก-ลก และนายอิสทนนท์ อีแต ตำแหน่ง ครูชำนาญการ โรงเรียนสุไหงโก–ลก ร่วมกันกระทำการเรียก รับ เงิน จำนวน 1,077,000 บาท จากบริษัท ข โดยมิชอบเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่บริษัท ข จะได้เป็นคู่สัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับโรงเรียนสุไหงโก-ลก ตลอดระยะเวลาที่นายนิรัตน์ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสุไหงโก-ลก
จังหวัดปัตตานี
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายพศวัต สุวรรณกมลาศ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 สาขาปัตตานี กรณีเรียกรับเงินจากพนักงานจ้างตามข้อตกลงจ้างเหมาเอกชนดำเนินงาน (พนักงานจ้าง TOR)ในระหว่างปี พ.ศ.2560-2563 โดยมิชอบ
จังหวัดพัทลุง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายไกรวัฒน์ ธรรมเพชร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลเขาเจียกอำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง กับพวก รวม 8 ราย กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีจัดเก็บและนำส่งเงินค่าธรรมเนียมเก็บและขนมูลฝอยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ถึงเดือนตุลาคม 2564 ไม่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการจนเป็นเหตุให้เทศบาลตำบลเขาเจียกได้รับความเสียหาย จำนวน 4,212,800 บาท
จังหวัดยะลา
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นางสาวมัสตูรี วาแมดีซา นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ท่าธง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 (ยื่นล่าช้ากว่าที่กฎหมายกำหนด จำนวน 174 วัน)
เบื้องต้น คดีเหล่านี้ ป.ป.ช.จะมีการส่งสำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีและส่งสำนวนการไต่สวนและเอกสารหลักฐานพร้อมความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด
@ นายกอบจ.ปัตตานี เลื่อนรายงานตัวสู้คดีรถหลวง 7 ครั้ง
ขณะที่ นายทวิชาติ นิลกาญจน์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 9 ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 แถลงความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี กรณีนำรถยนต์ส่วนกลาง ของ อบจ. ปัตตานี ไปใช้ส่วนตัวและเดินทางไปท่องเที่ยว ปัจจุบันมีการส่งสำนวนอัยการฟ้องร้องดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายแล้ว
โดยสำนักงานคดีปราบปรามทุจริตภาค 9 แจ้งสำนักงานป.ป.ช. ให้ส่งตัวผู้ถูกกล่าวหาไปพบอัยการเพื่อฟ้องต่อศาลอาญาแผนกคดีทุจริตฯ ภาค 9 ในวันที่ 29 ส.ค. 67 แต่ผู้ถูกกล่าวหาขอเลื่อน
ต่อมาผู้ถูกกล่าวหามอบอำนาจยื่นคำร้องต่ออัยการขอเลื่อนการฟ้องคดีออกไป อัยการเห็นว่ามีเหตุอันสมควร จึงอนุญาตให้เลื่อน 3 ครั้ง
วันที่ 16 ธ.ค. 67 อัยการกำหนดให้ผู้ถูกกล่าวหาไปรายงานตัว แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ไปรายงานตัว และมอบอำนาจเพื่อขอเลื่อนฟ้องคดีเป็นครั้งที่ 4
วันที่ 22 ม.ค. 68 ผู้ถูกกล่าวหามอบอำนาจผู้รับมอบอำนาจให้เลื่อนฟ้องคดีเป็นครั้งที่ 5
อัยการจึงได้มีหนังสือแจ้งผู้ถูกกล่าวหาไปรายงานตัวต่ออัยการเพื่อฟ้องต่อศาลในวันที่ 6 ก.พ. 68 แต่ผู้ถูกกล่าวหาไปรายงานตัวต่ออัยการ แต่ไม่ไปศาล โดยอ้างว่าอยู่ในระหว่างขอความเป็นธรรม/ขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทบทวนมติ
อัยการจึงมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาไปรายงานตัวอีกครั้งวันที่ 11 มี.ค. 68 ล่าสุดทราบว่ายังไม่ไปรายงานตัว
สำนักงาน ป.ป.ช. จะได้ประสานงานและติดตามความคืบหน้าไปทางอัยการสูงสุดต่อไป ทั้งนี้หากอัยการส่งฟ้องและศาลที่มีเขตอำนาจประทับรับฟ้อง จะมีผลให้ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ต่อไป