ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 1 พิพากษายกฟ้อง พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง อคส. - พวกรวม 21 คน คดีจัดซื้อถุงมือยาง 2,000 ล้าน อธิบดีผู้พิพากษา ทำมีความเห็นแย้ง มิอาจเห็นด้วยกับคำพิพากษา
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำพิพากษายกฟ้องคดีกล่าวหา พันตำรวจเอกรุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง อคส. ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) และพวกรวม 21 คน กรณี อคส. จัดซื้อถุงมือยาง โดยจ่ายเงินล่วงหน้า 2,000 ล้านบาท
โดยผลการตัดสินคดีนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ได้เผยแพร่ข่าวสรุปคำพิพากษาระบุว่า อัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 1 เป็นโจทก์ (ฟ้องแทนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พันตำรวจเอกรุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ เป็นจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 21 คน
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานองค์การคลังสินค้า ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด จำเลยที่ 2 เป็นนิตินิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยจำเลยที่ 3 กรรมการผู้มีมีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท โดยลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท จำเลยที่ 4 ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า จำเลยที่ 5 เป็นพนักงานองค์การคลังสินค้า ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนงานการตลาดดิจิตอล จำเลยที่ 6 ถึงจำเลยที่ 17 และจำเลยที่ 19 ถึงจำเลยทำเลยที่ 21 เป็นบุคคลธรรมดา และบริษัท ไทย สไมล์ เทรด จำกัด จำเลยที่ 18 เป็นนิติบุคคล ผู้เกี่ยวข้องในการซื้อหรือขายถุงมือยางกับองค์การคลังสินค้า
จำเลยทั้งยี่สิบเอ็ดได้ร่วมกันในลักษณะแบ่งหน้าที่และให้การช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกันในการกระทำความผิด โดยจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 และจำเลยจำเลยที่ 5 ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐ และพนักงามในหน่วยงานของรัฐ อีกทั้งจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 ยังเป็นพนักงานของรัฐ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ในการซื้อ ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ขององค์การคลังสินค้า ได้กระทำความผิดโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ในการทุจริต
ด้วยการร่วมกับจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 ถึงจำเลยที่ 21 นำบริษัท ไทย สไมล์ เทรด จำกัด จำเลยที่ 18, GALORE MANAGEMENT, LLC และ KRENEK LAW OFFICES, PLLC ซึ่งเป็นบริษัทที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในการค้าขายถุงมือยางเข้ามาเป็นผู้ซื้อถุงมือยางจากองค์การคลังสินค้า ทั้งที่ยังไม่ได้มีการวางหลักเกณฑ์หรือระเบียบในการจัดหาและจำหน่ายสินค้า
จากนั้นได้เร่งรีบเสนอโครงการจัดซื้อถุงมือยางโดยที่ไม่ได้อยู่ในแผนการดำเนินการจัดชื้อจัดจัดจ้าง ไม่เผยแพรในเว็บไซต์ขององค์การคลังสินค้า ไม่ติดประกาศในที่เปิดเผย ไม่มีราคาอ้างอิง โดยใช้ข้ออ้างว่ามีลูกค้ารองรับชื่อต่อล่วงหน้าแล้วเพื่อมุ่งหมายและมีวัตถุประสงค์ที่จะเอื้ออำนวย ให้บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด จำเลยที่ 2
โดยจำเลยที่ 3 เข้าทำสัญญาซื้อขายถุงมือยางกับองค์การคลังสินค้า โดยไม่ต้องแข่งชันราคากับผู้เสนอราคารายอื่นอันเป็นการหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม รวมทั้งเพื่อเป็นข้ออ้างในการถอนเงินขององค์การคลังสินค้าที่ได้ฝากประจำไว้ยังสถาบันการเงินไปจ่ายเป็นเงินล่วงหน้า
ประกอบกับไม่ดำเนินการส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดให้ความเห็นชอบ อีกทั้งยังได้อนุมัติให้ทำสัญญาและอนุมัติให้จ่ายเงินโดยไม่มีอำนาจ อันเป็นการดำเนินการเพื่อให้ได้เงินจากองค์การคลังสินค้าไป เพื่อประโยชน์แก่บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด จำเลยที่ 2 โดยมิชอบ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การคลังสินค้า และราชการอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้องค์การคลังสินค้า ได้รับความเสียหาย เป็นเงินจำนวน 2,000,000,000 บาท และดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ถอนเงินฝากจากบัญช็องค์การคลังสินค้าก่อนกำหนดเพื่อนำมาจ่ายเป็นเงินล่วงหน้า จำนวน3,770,491.80 บาท รวมเป็นเงินที่ได้รับความเสียหาย 2003,770,491.80 บาท
การกระทำของจำเลยทั้ง 21 ราย ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 มาตรา 8 และมาตรา 11 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 มาตรา 11 และมาตรา 12 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86
จำเลยทั้งยี่สิบเอ็ดให้การปฏิเสธ
ศาลพิพากษายกฟ้อง
ทั้งนี้ ในเอกสารข่าวสรุปคำพิพากษาคดีนี้ ไม่ได้มีการระบุเหตุผลที่ศาลฯ ยกฟ้องคดีนี้ แต่ด้านท้ายมีการระบุความเห็น อธิบดีผู้พิพากษา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ที่มีความเห็นแย้ง โดยระบุว่า มิอาจเห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ที่ยกฟ้องคดีนี้
"ในคดีนี้หาควรพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมดทุกคนคือจำเลยทั้งยี่สิบเอ็ดอย่างสิ้นเชิงในเมื่อเป็นความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะซึ่งเกิดจากพฤติการณ์กระทำที่ไม่สุจริตอันถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายตามเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพ.ศ. 2559 ในการจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเพื่อให้การอำนวยความยุติธรรรมในคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นแล้ว"