"...คำพิพากษาดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลัง ‘จตุพร’ พ้นโทษคดีหมิ่นประมาทไปแล้วถึง 3 ปี และได้รับใบบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อศาลชี้ขาดว่าการบังคับโทษไม่เป็นไปตามกฎหมาย จึงออกหมายขังให้นำตัวเขากลับไปจำคุกอีกครั้งในคดีเดิมอีก 11 เดือนเศษ จนกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ ซึ่งกำลังย้อนกลับมาที่ ‘ทักษิณ’ อีกครั้งว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่?..."
เรียกได้ว่าส่อเค้าลากยาว สำหรับเงื่อนปมการบังคับโทษ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกฯ พลันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีเขาถูกพิพากษาจำคุกคดีทุจริต 3 คดี แต่ส่งตัวไปรักษาที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ทำให้ ‘ชาญชัย อิสระเสนารักษ์’ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ขอให้ไต่สวนกรณีนี้
เมื่อ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาฯนัดพร้อมหรือนัดไต่สวนกรณีดังกล่าว โดยมีตัวแทนอัยการสูงสุด (อสส.) ตัวแทนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะตัวแทนโจทก์ ‘วิญญัติ ชาติมนตรี’ และทีมทนายความ 4-5 คน ในฐานะผู้รับมอบอำนาจแทน ‘ทักษิณ’ ตัวแทนจำเลย พร้อมด้วยผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง
โดยศาลไต่สวนพยานปากแรก คือนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และหลังจากนั้นได้มีคำสั่งเรียกพยานอีกจำนวน 20 ปาก โดยจะเป็นพยานกลุ่มแพทย์ พยาบาลของสถานพยาบาลราชทัณฑ์ พัสดีเวรประจำวันในช่วง 16.30 น. ถึง 8.30 น. ที่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยแทนผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ (นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์) โดยจะเริ่มไต่สวนพยานนัดต่อไปในวันที่ 4 8 และ 15 ก.ค. 2568 เวลา 09.00 น.
- ไต่สวนคดีติดคุกทิพย์นัดแรก! ผบ.เรือนจำ ยอมรับส่งตัว 'ทักษิณ' ไป รพ.ตร.ไม่ผ่านรพ.ราชทัณฑ์
- ไต่สวนคดีติดคุกทิพย์! ศาลฯ เรียกพยานเพิ่ม 20 ปาก ขีดเส้น ทักษิณ ยื่นคำชี้แจง 23 มิ.ย.นี้
ประเด็นนี้ถูกกูรูการเมืองบางคน วิเคราะห์กันว่า อาจเข้าข่ายซ้ำร้อยกรณี ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ ที่เคยถูกยื่นคำร้องไต่สวนกรณีบังคับโทษเช่นกัน โดยขณะนั้นทนายความของ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ยื่นฟ้อง ‘จตุพร’ คดีหมิ่นประมาท ต่อมา ‘จตุพร’ ได้รับโทษจำคุก 12 เดือนไม่รอลงอาญา อย่างไรก็ดีมีเงื่อนปมอยู่ที่ให้นับโทษจำคุกต่อจากคดีหมิ่นประมาทก่อนหน้านี้ ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาว่าไม่ต้องนับโทษต่อ แต่ให้นับโทษพร้อมกัน
ต่อมาทนายฝ่าย ‘อภิสิทธิ์’ ยื่นอุทธรณ์ และฎีกา โดยสุดท้ายแล้วศาลอ่านคำสั่งฎีกา ในคดีหมายเลขดำ อ.4176/2552 คดีหมายเลขแดง อ.240/2558 ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.4907/2555 และให้ยกเลิกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดของจำเลย ลงวันที่ 19 ก.พ.2561 กับให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดใหม่เพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไป
คำพิพากษาดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลัง ‘จตุพร’ พ้นโทษคดีหมิ่นประมาทไปแล้วถึง 3 ปี และได้รับใบบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อศาลชี้ขาดว่าการบังคับโทษไม่เป็นไปตามกฎหมาย จึงออกหมายขังให้นำตัวเขากลับไปจำคุกอีกครั้งในคดีเดิมอีก 11 เดือนเศษ จนกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ ซึ่งกำลังย้อนกลับมาที่ ‘ทักษิณ’ อีกครั้งว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่?
@ จตุพร พรหมพันธุ์
ท่ามกลางเกมการเมืองร้อนแรงที่ ‘ก๊กแดง’ เริ่มรุกคืบกินแดน ‘ก๊กน้ำเงิน’ ทั้งหน้าฉาก-หลังม่าน ‘2 ผู้มากบารมี’ ของทั้ง 2 ขั้ว กำลังเร่งเดินเกมเต็มสปีด เพื่อหวังให้กลับมาได้เปรียบทางการเมืองอีกครั้ง ซึ่งฉากที่ต้องจับตานั่นคือกรณีการปรับ ครม.ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้
ล่าสุดมีสูตรใหม่ผุดขึ้นมา ได้แก่
1.สูตรสลับกระทรวง โยก ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ จากรองนายกฯ ควบมหาดไทย ไปนั่งรองนายกฯ ควบพาณิชย์ หรือสาธารณสุขแทน โดยก๊กแดงจะส่ง ‘ประเสริฐ จันทรรวงทอง’ รมว.ดีอี ไปเสียบเก้าอี้ มท.1 โดยมี ‘เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช’ หรือ ‘จักรพงษ์ แสงมณี’ นั่ง มท.2 สูตรนี้ยังถือว่าอยู่ ‘บนโต๊ะเจรจา’ ต่างฝ่ายต่างชิงความได้เปรียบต่อรองผลประโยชน์กันอยู่
2.สูตรเดินแรง รวบรวมไพร่พลทั้งหมดแล้วขับ ‘ก๊กน้ำเงิน’ พ้นสถานะพรรคร่วมรัฐบาล แต่ปัจจัยเงื่อนไขข้อนี้คือต้องให้ ‘พรรคพันธมิตร’ กวาดต้อนสารพัดงูเห่ามาเข้าพรรคให้ได้จำนวนเยอะที่สุด โดยบางพรรคขณะนี้กำลังเดินเกมนี้อยู่ แต่หมากนี้ ‘ก๊กน้ำเงิน’ รู้ดี ทำให้ล่าสุดมีการปล่อยภาพ ‘ซุ้มมะขามหวาน’ จาก ‘เพชรบูรณ์’ ที่ในอดีตเคยสนิทแนบแน่นกับ ‘ก๊กแดง’ ไปนั่งโต๊ะกินข้าวกับ ‘เนวิน ชิดชอบ’ ครูใหญ่แห่งภูมิใจไทย เพื่อโชว์คอนเนกชั่นทางการเมืองกลับไปเช่นกัน แม้ว่า ณ เวลานี้ ‘ซุ้มมะขามหวาน’ จะยังยืนยันว่ายังล่มหัวจมท้ายกับ ‘ลุงบ้านป่าฯ’ แต่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่มีใครรู้แน่ชัด อย่างไรก็ดีคาดกันว่าสูตรนี้เป็นไปได้ยากถึงยากมาก เพราะดีดลูกคิดคณิตศาสตร์ทางการเมืองแล้ว ‘ก๊กแดง’ น่าจะได้ไม่คุ้มเสีย
สาเหตุประการสำคัญที่ ‘ก๊กแดง’ จำเป็นต้องยึดกระทรวงคลองหลอดมาไว้ในมือให้ได้ เพราะ
1.ป้องกัน ‘ก๊กน้ำเงิน’ วางคน-วางนโยบายกินรวบท้องถิ่น ทำให้การเลือกตั้งใหญ่ครั้งถัดไปอาจทำได้ยากลำบากมากขึ้น เพราะกลไกต่าง ๆ ถูก ‘สีน้ำเงิน’ ปูทางไว้หมดแล้ว
2.เพื่อวางกลไกให้ ‘บ้านใหญ่ค่ายแดง’ ที่ในการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อปี 2568 ที่ผ่านมา หลายแห่งพ่ายแพ้ ไม่ตรงตามเป้า กลับมาโลดแล่นบนเวทีเลือกตั้งระดับชาติ ฟื้นวิกฤติศรัทธา ‘นายใหญ่’ ที่ตอนนี้คะแนนนิยมเริ่มลดน้อยถอยลงไปทุกวัน ให้กลับมาโดดเด่นอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นคาดกันว่า บทสรุปการเขย่า ครม.ครั้งนี้ น่าจะจบลงบนโต๊ะเจรจา มากกว่าที่จะขับ ‘ก๊กน้ำเงิน’ พ้นจากพรรคร่วมรัฐบาล แม้ว่า ‘สทร.’ จะต้องการมากขนาดไหนก็ตาม แต่ประเมินจากสถานการณ์การเมืองขณะนี้ การจับมือ ‘สีน้ำเงิน’ เอาไว้ ประคับประคอง หวานหน้าฉาก-รบหลังฉาก จนกว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งถัดไป เป็นผลดีกับ ‘ก๊กแดง’ มากกว่า
นี่ยังไม่นับฉากร้าวลึกในพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่เป็น ‘ดีเอ็นเอลุงตู่’ ถูกแบ่งออกเป็น 3 ขั้วอย่างชัดเจน 1.ขั้ว ‘หัวหน้าพี’ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มี สส.ราว 7-8 คน 2.ขั้ว ‘เลขาฯขิง’ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ มี สส.ราว 10 คน และ 3.ขั้ว ‘บิ๊กเนมหลังม่าน’ เชิด ‘เสี่ยเฮ้ง’ สุชาติ ชมกลิ่น ออกหน้า มี สส.รวมราว 18 คน
โดยขั้ว ‘หัวหน้าพี-เลขาฯขิง’ คอนเฟิร์มแล้วว่า น่าจะแนบแน่บไปด้วยกันมาด้วยกัน เปิดฉากรบกับขั้ว ‘บิ๊กเนมหลังม่าน’ ที่พร้อมทิ้ง รทสช.ไขว่คว้า ‘โอกาสใหม่’ ปูทางสู่การเลือกตั้งครั้งถัดไป โดยศึกแรกคือการกดดันไปที่รัฐบาลหวังปลด ‘หัวหน้าพี’ พ้นเก้าอี้รัฐมนตรี ซึ่งต้องวัดใจ ‘แบ็คอัพ’ หลังฉากของทั้งคู่ว่าใครจะเหนียวกว่ากัน?
ส่วนบทสรุปของเกมเขย่า ครม.ครั้งนี้ จะจบลงอย่างไร คงต้องติดตามกันภายในเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้