
ป.ป.ช.รับคำร้องคณะนิติชน-เชิดชูธรรม สอบกรณีกล่าวหา แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี-ครม. ร่วมกันมีมติอนุมัติให้นำเงินงบประมาณ 1 แสนล้าน แจกเงินหมื่น เฟสหนึ่ง โดยไม่เป็นไปตามที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาฯ-วุฒิสภา ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ขอให้ยืนยันข้อกล่าวหา-ส่งพยานหลักฐานสนับสนุนเพิ่ม
แหล่งข่าวจาก คณะนิติชน-เชิดชูธรรม ที่เคยออกมาเคลื่อนไหวยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับที่ กกต. เคยยื่นเรื่องให้ยุบพรรคก้าวไกล จากกรณี นายทักษิณ ชินวัตร ครอบงำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานกลาง ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีหนังสือถึงตัวแทนคณะนิติชน-เชิดชูธรรม ที่ ปช 0004/1287 ลงวันที่ 22 พ.ค.2568 ขอทราบรายละเอียดตามคำกล่าวหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับยื่นคำร้องให้ตรวจสอบกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้นำเงินงบประมาณไปใช้โดยไม่เป็นไปตามที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ขัดต่อกฏหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
โดยระบุว่า สำนักงาน ป.ป.ช.ได้รับคำกล่าวหา กรณีกล่าวหาว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ร่วมกันมีมติอนุมัติให้นำเงินงบประมาณไปใช้โดยไม่เป็นไปตามที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 สำนักงาน ป.ป.ช.มีความจำเป็นต้องขอทราบว่า ท่านเป็นผู้กล่าวหาในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ หากเป็นผู้กล่าวหา หรือมิได้เป็นผู้กล่าวหา แต่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี สำนักงาน ป.ป.ช.มีความจำเป็นต้องขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม 1. ท่านเป็นผู้กล่าวหาเจ้าพนักงานของรัฐตามที่ระบุหรือไม่ อย่างไร 2. ผู้ถูกร้องมีพฤติกรรมในการกระทำความผิดอย่างไร 3.มีพยานหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวหาหรือไม่ ประการใด 4. ท่านเคยร้องเรียนเรื่องนี้ไปยังหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ หรือฟ้องผู้ถูกร้องเป็นคดีอาญาต่อศาลหรือไม่ หากได้ร้องเรียนหรือฟ้องคดีต่อศาล ผลเป็นประการใด ขอให้ชี้แจงหรือให้รายละเอียดไปยังสำนักงาน ป.ป.ช.ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ตัวแทนคณะนิตชน-เชิดชูธรรม ได้ยื่นเรื่องนี้ผ่านระบบออนไลน์ไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2568 เพื่อขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาว่า ครม.ชุดนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งได้อนุมัติให้นำเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม จำนวน 1.22 แสนล้านบาท ที่ ครม.ชุดนายเศรษฐา ทวีสิน ได้ขอความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ตราเป็นพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ไว้ก่อนที่จะพ้นหน้าที่ โดย ครม.ชุดนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้นำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมนี้ไปสมทบกับเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นอีก 2.35 หมื่นล้านบาท รวมเป็นงบประมาณทั้งสิ้น 1.45 แสนล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านการแจกเงินหมื่น เฟส 1 ให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยคณะนิติชน-เชิดชูธรรม เห็นว่าการใช้งบประมาณเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท เป็นการแปลงงบประมาณเพิ่มเติมที่ผ่านการเห็นชอบจากทั้งสองสภาด้วยข้อมูลที่นายเศรษฐานำเสนอผ่านเอกสารและคำแถลงประกอบงบประมาณด้วยวาจาว่าจะนำเงิน ร้อยละ 80 ของงบประมาณเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาทนี้ ไปใช้เป็นรายจ่ายเพื่อการลงทุนผ่านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ดูคลิปวิดีโอการแถลงงบประมาณของนายเศรษฐาได้จากเว็บไซด์ยูทูป)
โดยในขณะนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ ครม.นายเศรษฐา จะเป็นการเติมเงิน 10,000 บาท เข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลให้กับประชาชนทั่วไป ที่ไม่ใช่เป็นผู้มีฐานะยากจนหรือคนพิการ โดยกระเป๋าเงินดิจิทัลจะมีระบบที่สามารถควบคุมการใช้จ่ายเงินของประชาชนได้อย่างเข้มงวด ทำให้ทั้งสองสภาเชื่อว่างบประมาณเพิ่มเติม จำนวน 1.22 แสนล้านบาท จะสามารถควบคุมให้นำไปใช้เพื่อการลงทุนร้อยละ 80 ได้จริง ซึ่งจะส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล จึงได้ให้ความเห็นชอบในการตรา พรบ.งบประมาณเพิ่มเติม
แต่เมื่อ ครม.นางสาวแพทองธารดำเนินนโยบายแจกเงินหมื่น เฟส 1 โดยใช้เงินส่วนใหญ่จากงบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 1.22 แสนล้านบาท กลับไม่ได้แจกเงินให้กับประชาชนทั่วไป แต่นำไปแจกให้กับผู้ยากไร้และคนพิการที่มีโอกาสน้อยมากที่จะนำเงินไปใช้ซื้อสินค้าทุน ประการสำคัญคือไม่ใช่เป็นการเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลซึ่งจะมีระบบควบคุมให้ประชาชนนำเงินไปใช้ซื้อสินค้าทุน แต่เป็นการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของประชาชนโดยตรง ซึ่งประชาชนสามารถนำเงินไปใช้จ่ายได้อย่างอิสระ โดยรัฐบาลไม่ได้ควบคุมการใช้จ่ายเงินของประชาชนแต่ประการใด
การอนุมัติให้ใช้งบประมาณ และการเห็นชอบวิธีการแจกเงินหมื่น เฟส 1 ของ ครม.นางสาวแพทองธาร จึงทำให้การใช้เงินงบประมาณ ตาม พรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 1.22 แสนล้านบาท ไม่เป็นไปตามที่ทั้งสองสภาให้ความเห็นชอบในการตรา พรบ.งบประมาณเพิ่มเติม ที่มีคำแถลงงบประมาณของนายกรัฐมนตรีคนก่อนประกอบการพิจารณา
คณะนิติชน-เชิดชูธรรม จึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง และวรรคสาม หรือไม่ โดยพลัน และหากเห็นว่ามีมูลขอให้เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ดำเนินการกรณีนี้โดยพลัน โดยใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากได้รับเรื่องเมื่อวันที่ 1 พ.ค.2568 แล้ว ป.ป.ช.ได้ดำเนินการเพื่อพิจารณารับเรื่อง โดยขอให้ตัวแทนคณะนิติชน-เชิดชูธรรม ยืนยันและชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2568 ที่ผ่านมา
อนึ่งก่อนหน้านี้ ปรากฏข่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. มีมติรับเรื่องกรณีกล่าวหา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพวกเป็นร้อยคน จัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่งและวรรคสอง จำนวน 2 สำนวน
โดยสำนวนแรก มีผู้ถูกกล่าวหา ได้แก่ 1. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี , 2. นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 3. คณะรัฐมนตรี 4. คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 5. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.)ที่ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปิงบประมาณ พ.ศ. 2568 6. เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณดังกล่าวว่ามีพฤติการณ์ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่งและวรรคสองกรณีปรับลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายสำหรับส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตาม ข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย และเข้าไปมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีการนำงบประมาณไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเติมเงิน 10,000 บาท หรือ แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ตามที่ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบก่อนหน้านี้
ส่วนสำนวนสอง มีผู้ถูกกล่าวหา ได้แก่ 1. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย 2. นายสาโรจน์ หงษ์ซูเวช 3. นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย 4. นายจักรพงษ์ แสงมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 5. ผู้บริหารระดับสูงสำนักงบประมาณ ว่ามีพฤติการณ์ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง กรณีมีพฤติการณ์ใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทำการสั่งการ บังคับ ก้าวก่าย หรือเข้าแทรกแชง ในการจัดทำงบประมาณการอนุมัติงบประมาณ การบริหารงบประมาณ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 ผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อประโยชน์ของตนเอง และผู้อื่น หรือพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา