สว.ลงเข้าชื่อถอดถอน 'แพทองธาร ชินวัตร' กรณีคลิปเสียงหลุด 'ฮุนเซน' ครบแล้ว! 'มงคล สุระสัจจะ' ปธ.วุฒิสภาลงนามหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. ชี้ขาดคุณสมบัติฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง-ยื่นคำร้อง ศาลรธน. วินิจฉัยสิ้นสุดความเป็นนายกฯ ด้วย
จากกรณีปรากฏข่าว เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ประกาศจะลงชื่อยื่นถอดถอน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) และไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เกี่ยวกับความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทยกับกัมพูชา รวมทั้งจะมีการเอาผิดกับนายกรัฐมนตรีต่อองค์กรต่าง ๆ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ลงนามถึงประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อส่งหนังสือกล่าวหา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ของ คณะสมาชิกวุฒิสภา ประกอบการไต่สวนฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และอาจมีลักษณะเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
หนังสือระบุว่า ด้วยสมาชิกวุฒิสภาได้เข้าชื่อต่อประธานวุฒิสภาเพื่อขอให้ประธานวุฒิสภาส่งหนังสือกล่าวหา เพื่อขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ไต่สวนและดำเนินการกับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ว่า ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงและอาจมีลักษณะเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
ในการนี้ ประธานวุฒิสภาจึงขอส่งหนังสือกล่าวหาของคณะสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าวมายังท่าน ตามความประสงค์ของคณะสมาชิกวุฒิสภา ดังมีรายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ
จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไป
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
ลงชื่อ นายมงคล สุระสัจจะ
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ในวันเดียวกัน นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 86 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ด้วย
@กก.ทหารวุฒิสภายก 3 ข้อกฎหมาย นายกฯ ทำผิดชัดเจน
สำนักข่าวอิศรารายงานเพิ่มเติมว่าในเอกสารแถลงการณ์คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภาร่วมกับ สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งได้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นได้ระบุว่า น.ส.แพทองธารทำผิดกฎหมายด้วยกัน 3 ข้อได้แก่
1.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เช่น มาตรา 5 บุคคล มีหน้าที่ดังต่อไปนี้ (2) ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ และสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาตรา 52 รัฐต้องพิทักษ์ รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศ ไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อย ของประชาชน เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้มีการทหาร การทูตและการข่าวกรองที่มี ประสิทธิภาพ มาตรา 164 ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องดําเนินการตาม บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และต้องปฏิบัติตาม หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ด้วย (1) ปฏิบัติหน้าที่และใช้อํานาจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ เปิดเผย และมีความรอบคอบและระมัดระวังในการดําเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม (4) สร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ผาสุก และสามัคคีปรองดองกัน
2. ประมวลกฎหมายอาญา หมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายใน ราชอาณาจักร และหมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร ในมาตรา ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฐานเป็นกบฏ หรือคบคิดกับบุคคลซึ่งกระทําการเพื่อประโยชน์ของรัฐ ต่างประเทศหรือที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ หรือร่วมเป็นข้าศึกของประเทศ และมาตรา 157 ฐานเป็น เจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
3. นอกจากกระทําความผิดตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายในหลายมาตราดังกล่าว ยังส่งผลต่อการดํารงตําแหน่งทางการเมือง และการตําหนิผู้นําทหาร คือ แม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็น คนละฝ่ายกับเรา ซึ่งหมายถึงเป็นคนละฝ่ายกับนายกรัฐมนตรีไทยกับประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ถือเป็นการสร้างความแตกแยกในชาติ และยังเป็นการกระทําที่เข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริต และละเมิด จริยธรรมอย่างร้ายแรงของผู้ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) ขาดคุณสมบัติในการดํารงตําแหน่งทางการเมือง