“…โดยสรุปแล้ว การกำหนดนโยบายของรัฐบาลและการเสนอร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ของรัฐบาลต่อสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญมีความเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 3 มาตรา 26 มาตรา 37 วรรคสาม มาตรา 63 มาตรา 58 มาตรา 65 และมาตรา 75 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ รวมทั้งไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ซึ่งอาจส่งผลให้บรรดาผู้กระทำต้องตกเป็นผู้กระทำการใช้อำนาจอธิปไตยอันไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และอาจต้องรับผลจากการกระทำของตนด้วยบทบัญญัติอันเกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญ…”
หมายเหตุ : สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) วุฒิสภา ที่มีนพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย เป็นประธาน ได้สรุปรายงานข้อสังเกตและความเห็นเบื้องต้นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. เสนอต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ ในการประชุมวุฒิสภา ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568
อ่านประกอบ : กมธ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ชง รายงาน‘พ.ร.บ.กาสิโน’วุฒิสภา ขัดรธน.-ฝ่าฝืนจริยธรรม
ทั้งนี้ เนื้อหาในรายงานของ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) วุฒิสภา ประกอบด้วย ข้อสังเกต ความเห็น และข้อห่วงใยเบื้องต้นเกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและด้านอื่น ๆ ด้านกฎหมาย กับ 3 ฉากทัศน์ จึงขอนำเสนอในส่วนของ ด้านกฎหมาย ก่อนเป็นลำดับแรก เนื่องจากมีความสำคัญและอาจส่งผลกระทบต่อรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เป็นผู้เสนอกฎหมายด้งกล่าวโดยตรงในเรื่องของมาตรฐานจริยธรรม
ด้านกฎหมาย
จากการวิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ของรัฐบาลที่เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการกำหนดให้กาสิโนเป็นส่วนหนึ่งของสถานบันเทิง ครบวงจรตามร่างพระราชบัญญัตินั้น มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 สรุปได้ดังนี้
ขัดกับหลักนิติธรรม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บททั่วไป ได้บัญญัติ หลักพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไว้ว่า การใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชนชาวไทยนั้นจะต้องแยกใช้เป็น 3 ส่วน คือ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลและคานอำนาจกันอย่างเหมาะสม โดยที่รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล หรือองค์กรอิสระ ตลอดจนหน่วยงานของรัฐจะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย และจะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและความผาสุกของประชาชน
“หลักนิติธรรม (Rule of Law)” เป็นพื้นฐานสำคัญประการหนึ่งในการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี ที่การตรากฎหมาย กฎ ข้อบังคับต่าง ๆ ที่จะมีขึ้นมานั้นต้องมีความทันสมัยและเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับของสังคม และสังคมมีความยินยอมพร้อมใจปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ข้อบังคับเหล่านั้น โดยถือว่าเป็นการปกครองที่อยู่ภายใต้กฎหมาย มิใช่ตามอำเภอใจหรืออำนาจของตัวบุคคล และกฎหมายจะต้องเชื่อมโยงกับมาตรฐานทางศีลธรรมของประชาชน
การใช้อำนาจที่เป็นไปในทางที่ขัดกับสำนึกในศีลธรรมอันดีของประชาชนก็จะเป็นการขัดกับหลักนิติธรรมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 3 วรรคสอง และมาตรา 26 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญ และการบริการกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีก็ถือเป็นแนวทางสำคัญในการจัดระเบียบสังคม ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความรักความสามัคคี ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพราะสังคมจะรู้สึกถึงความยุติธรรม ความโปร่งใสและความมีส่วนร่วม อันเป็นคุณลักษณะสำคัญของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และการปกครอง แบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
การที่รัฐบาลเสนอร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งแม้ด้วยชื่อร่างพระราชบัญญัติจะมิได้ชี้ชัดว่า เป็นพระราชบัญญัติที่มุ่งเน้นให้มีกาสิโนเป็นหลัก แต่ด้วยเหตุผลของร่างพระราชบัญญัตินั้น ก็ระบุชัดเจนว่าเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น การดึงดูดนักท่องเที่ยว ด้วยสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโน สร้างการลงทุน การนำรายได้เข้าสู่ประเทศ รวมไปถึงการจ้างแรงงานในประเทศ และในเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติก็ได้บัญญัติชัดเจนว่าการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรจะต้องประกอบด้วยประเภทธุรกิจสถานบันเทิงตามบัญชีแนบท้ายอย่างน้อย 4 ประเภท และจะต้องร่วมกับ “กาสิโน” อยู่ด้วยเสมอ (ร่างมาตรา 50 (1))
ดังนั้น กฎหมายลักษณะเช่นนี้ เป็นกฎหมายที่เปิดให้มีการประกอบธุรกิจบ่อนการพนันได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพราะกาสิโน ก็คือบ่อนการพนันแบบหนึ่ง อันเป็นการย้อนแย้งต่อสำนึกในศีลธรรมอันดีของประชาชน (Good conscience of the People) ขัดต่อมาตรฐานศีลธรรมของประชาชน ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานประการหนึ่งของหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 และมาตรา 26
นอกจากนี้ เนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับ “คณะกรรมการนโยบาย สถานบันเทิงครบวงจร” (ร่างมาตรา 9) ซึ่งประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอื่น ๆ อีก กว่า 8 กระทรวง และกรรมการอื่น ๆ โดยบัญญัติหน้าที่และอำนาจเอาไว้ค่อนข้างมาก กล่าวคือ การเสนอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายหรือกฎที่เห็นว่าก่อให้เกิดความล่าช้า ซ้ำซ้อน หรือก่อให้เกิดภาระโดยไม่จำเป็นในการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (ร่างมาตรา 6) การบัญญัติให้มติของคณะกรรมการนโยบายมีผลผูกพันกระทรวงและหน่วยงานทุกหน่วยงานที่เป็นกรรมการ (ร่างมาตรา 14) การเสนอแนะนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรต่อคณะรัฐมนตรี การเสนอแนะกำหนดพื้นที่ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี แนวทางการกำหนดใบอนุญาต การเสนอแนะอัตราภาษีที่เกี่ยวข้องกับกาสิโนต่อคณะรัฐมนตรี
การออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการอนุมัติอนุญาตในเรื่องต่าง ๆ พิจารณาออกคำสั่ง เกี่ยวกับการอนุญาต การกำหนดพื้นที่ของกาสิโน การตั้งผู้อำนวยการ เป็นต้น (ร่างมาตรา 15) ซึ่งการที่องค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร เป็นกลุ่มบุคคลแทบจะกลุ่มเดียวกันกับคณะรัฐมนตรีและมีหน้าที่และอำนาจกว้างขวางเช่นนี้ มีลักษณะเป็นการรวมศูนย์อำนาจกระจุกตัว อยู่ที่คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร โดยปราศจากการถ่วงดุลและตรวจสอบ จากหน่วยงานอิสระภายนอก และมีลักษณะเป็นฝ่ายบริหารซ้อนฝ่ายบริหาร โดยไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเพราะไม่ถือเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงเป็นการดำเนินการ ที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 3
ขัดกับหน้าที่ของรัฐ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวดที่ 5 หน้าที่ของรัฐ ได้บัญญัติให้การดำเนินการของรัฐหรือที่จะมีการอนุญาตให้ผู้ใดดำเนินการ ถ้ามีส่วนที่กระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม หรือส่วนได้เสียของประชาชนชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมจะต้องมีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องก่อนซึ่งเป็นการบัญญัติเพื่อกำหนดหลักการคุ้มครองสิทธิการมีส่วนร่วมในการรับรู้และรับฟังความคิดเห็น ของประชาชนในการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อบุคคลและส่วนรวม และสิทธิของบุคคล ในการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ บำรุงรักษา และได้รับประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
นอกจากนี้ ยังบัญญัติให้รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุนและให้ความรู้กับประชาชนถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริต และประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งจัดให้มีมาตรการและกลไกในการป้องกัน และขจัดการทุจริตอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กำหนดหน้าที่ของรัฐในการที่จะส่งเสริมสนับสนุน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการขจัดการทุจริต และประพฤติมิชอบในทุกรูปแบบ
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 3 บัญญัติว่า มาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 26 บัญญัติว่า มาตรา 26 การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิ หรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผล ความจ าเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพไว้ด้วย
กฎหมายตามวรรคหนึ่ง ต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใด บุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง
ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ของรัฐบาล เป็นร่างพระราชบัญญัติที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรของชาติ คุณภาพชีวิต และส่วนได้เสียอันสำคัญของประชาชนหรือชุมชนอย่างรุนแรง จำเป็นจะต้องจัดให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย ประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องก่อน แต่หาได้มีการกระทำที่ถูกต้องไม่ จึงเป็นการขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 58
การที่ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายเอาไว้อย่างกว้างขวางและปราศจากการตรวจสอบจากองค์กรอิสระภายนอกนั้น อาจเกิดช่องว่างให้มีการแทรกแซง เรียกรับผลประโยชน์จากการดำเนินการ หรืออนุมัติโครงการโดยมิชอบได้ หรือเปิดช่องให้การทุจริตเชิงนโยบาย ทำได้ง่าย และตรวจจับ ป้องกัน ปราบปรามได้ยากลำบากมากขึ้น หรือถึงกับไม่อาจตรวจจับได้เลย เพราะมีกฎหมายคุ้มครองอยู่ ดังนั้น นโยบายนี้ของรัฐบาล กฎหมาย รวมไปถึงระเบียบที่ออกตามกฎหมาย ฉบับนี้ จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญในเรื่องของการต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันการทุจริต ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 58 บัญญัติว่า มาตรา 58 การดำเนินการใดของรัฐหรือที่รัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดด าเนินการ ถ้าการนั้นอาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชน หรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง รัฐต้องดำเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องก่อน เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินการหรืออนุญาตตามที่กฎหมายบัญญัติ
บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐก่อนการดำเนินการหรืออนุญาตตามวรรคหนึ่ง
ในการดำเนินการหรืออนุญาตตามวรรคหนึ่ง รัฐต้องระมัดระวังให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน ชุมชน สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพน้อยที่สุด และต้องดำเนินการให้มีการเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายให้แก่ประชาชน หรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมและโดยไม่ชักช้า
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 63 บัญญัติว่า มาตรา 63 รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริตและประพฤติมิชอบ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน และจัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ ดังกล่าวอย่างเข้มงวด รวมทั้งกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ
ขัดกับแนวนโยบายแห่งรัฐ
หมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติให้รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเพื่อเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่าง ๆ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่วางหลักการใหม่ให้รัฐพึงจัดให้มี “ยุทธศาสตร์ชาติ” เพื่อให้มีแผนการพัฒนาประเทศโดยกำหนดกรอบเวลาและแนวทางพัฒนา ให้หน่วยงานของรัฐทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติสู่เป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาล และเป็นกรอบในการจัดทำแผนของหน่วยงานต่าง ๆ ในการบริหารประเทศให้สอดคล้องเป็นไป ในทิศทางเดียวกัน และมีการบูรณาการกัน โดยยุทธศาสตร์ชาติจะกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) ของชาติ และแผนยุทธศาสตร์ (Strategic plan) ที่ประชาชนทุกภาคส่วนและรัฐเห็นพ้องร่วมกัน และร่วมมือกัน เพื่อเป็นพลังในการช่วยกันทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนของชาติในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันได้มีการประกาศใช้ยุทธศาสตร์ชาติแล้ว โดยกำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศคือ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”
นอกจากนี้ยังบัญญัติให้รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ขจัดการผูกขาดทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม และพัฒนาความสามารถ ในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประชาชนและประเทศ โดยบทบัญญัตินี้กำหนดขึ้นเพื่อกำหนดเป็นนโยบายสำคัญที่พึงนำไปใช้ในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยกำหนดหลักการสำคัญ ของกรอบการกำหนดนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ โดยยึดหลักระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมที่มุ่งหมายให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยได้กำหนดให้รัฐคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุ และการพัฒนาด้านจิตใจและความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนประกอบกัน ไม่ใช่มุ่งพัฒนาความเจริญ ทางวัตถุเป็นหลักอย่างเช่นที่ผ่านมา อันจะเป็นกลไกการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
การที่รัฐบาลเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ โดยมีลักษณะการดำเนินการเป็นโครงการระดับชาติ หรือเป็น Mega Project ที่ดำเนินการโดยทุนข้ามชาติ ผสมกับประชานิยม และเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนการพนันต่างชาติเพียงบางกลุ่มให้ได้รับประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยที่ประเทศไทยจะได้รับความสูญเสียและมีความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ อาจมีอาชญากรรม และกระทบต่อสังคมทุกระดับอย่างมากมาย เป็นเวลายาวนานจึงเป็นร่างกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และหลักเศรษฐกิจพอเพียง จึงไม่ชอบด้วยแนวนโยบายแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 65 และมาตรา 75 วรรคหนึ่งและวรรคท้าย
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 65 บัญญัติว่า มาตรา 65 รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อใช้ เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกันเพื่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว
การจัดทำ การกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลาที่จะบรรลุเป้าหมาย และสาระที่พึงมีในยุทธศาสตร์ชาติให้เป็นไปตาม หลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงด้วย
ยุทธศาสตร์ชาติ เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 75 บัญญัติว่า มาตรา 75 รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขจัดการผูกขาด ทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม และพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประชาชนและประเทศ
ในการพัฒนาประเทศ รัฐพึงคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนาด้านจิตใจและความอยู่เย็น เป็นสุขของประชาชน
โดยสรุปแล้ว การกำหนดนโยบายของรัฐบาลและการเสนอร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ของรัฐบาลต่อสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญมีความเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 3 มาตรา 26 มาตรา 37 วรรคสาม มาตรา 63 มาตรา 58 มาตรา 65 และมาตรา 75 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ รวมทั้งไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ซึ่งอาจส่งผลให้บรรดาผู้กระทำต้องตกเป็นผู้กระทำการใช้อำนาจอธิปไตยอันไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และอาจต้องรับผลจากการกระทำของตนด้วยบทบัญญัติอันเกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญ