
กองทัพภาค 2 แจ้งอพยพประชาชนตามแนวชายแดน 'บุรีรัมย์-สุรินทร์-ศรีสะเกษ-อุบลราชธานี' หลังแนวโน้มการปะทะอาจขยายวงกว้าง ด้านโฆษกกองทัพบก เผยทหารกัมพูชานำกำลังเข้ามาในบริเวณพื้นที่ 'ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน' ขณะไทยปรับปรุงเส้นทาง-ยิงเข้าใส่ชุดรักษาความปลอดภัยชุดปรับปรุงเส้นทาง-ไทยทำการยิงปะทะตามกฎการใช้กำลัง - 'เลขาฯนายกฯ' เผย 'อนุทิน-รมว.กลาโหม' ลงพื้นที่ พรุ่งนี้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2568 ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่า เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2568 เวลา 14.16 น. ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงในพื้นที่บริเวณ ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน ส่งผลให้ฝ่ายเราจำเป็นต้องดำเนินการโต้ตอบ โดยเกิดการยิงปะทะกันอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาได้เริ่มใช้อาวุธ ปรส. ต่อมาในเวลา 14.50 น. การปะทะได้ยุติลง อย่างไรก็ตาม หน่วยในพื้นที่ยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอน และมีแนวโน้มที่การปะทะอาจขยายวงกว้าง จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ใน อำเภอแนวชายแดนของ 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ดำเนินการอพยพไปยัง ศูนย์พักพิงตามแผนอพยพประชาชน เพื่อความปลอดภัย
ต่อมาเวลาประมาณ 17.45 น. เฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army เผยแพร่ข้อความว่า จากกรณีที่วันนี้ (7 ธ.ค. 2568) พลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงว่า เมื่อเวลา 14.15 น. กองกำลังทหารไทยเป็นฝ่าย เปิดฉากยิงก่อน พื้นที่ พลาญธม อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร โดยอ้างว่าไทยใช้ทั้งปืนเล็ก ปืนกล อาวุธ B-40 และปืน ค. 60 มม. พร้อมอ้างว่ากัมพูชาไม่ได้ยิงตอบโต้นั้น
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุว่า คำกล่าวของ พลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ไม่เป็นความจริง โดยข้อเท็จจริงคือ ทหารกัมพูชาได้นำกำลังเข้ามาในบริเวณพื้นที่ ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ขณะฝ่ายไทยดำเนินการปรับปรุงเส้นทางในเขตไทย จากนั้นได้ยิงเข้าใส่ชุดรักษาความปลอดภัยของชุดปรับปรุงเส้นทาง จากนั้นฝ่ายไทยได้ทำการยิงปะทะตามกฎการใช้กำลัง และนำไปสู่การปะทะ
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้กำลังพลบาดเจ็บ 2 นาย ได้แก่
– สิบเอก อนุชาติ เรือนคำ ถูกยิงบริเวณขา
– พลทหาร พรชัย จำปาจุม กระสุนถูกเสื้อเกราะบริเวณหน้าอก
ดังนั้น การที่กัมพูชาอ้างว่าไม่ได้ทำการยิงมานั้น ไม่เป็นความจริง และเป็นการกล่าวอ้างโดยปราศจากหลักฐาน ดังเช่นที่กัมพูชามักปฏิบัติทุกครั้งเมื่อเป็นผู้กระทำต่อฝ่ายไทยก่อน ขณะที่ฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดเจนยืนยันทั้งเวลา สถานที่ และผลกระทบต่อกำลังพลของไทย
@ ‘อนุทิน-รมว.กลาโหม’ ลงพื้นที่ พรุ่งนี้
ด้าน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (8 ธ.ค. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ มีกำหนดนำคณะลงพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา ได้แก่ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สุรินทร์ และบุรีรัมย์ เพื่อติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง รวมถึงการจัดการพิทักษ์ส่วนหลัง รวมถึงมาตรการรองรับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง หลังจากที่วันนี้ (7ธ.ค.68) เกิดเหตุปะทะระหว่างกำลังฝ่ายไทยและกัมพูชาบริเวณภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน ทำให้ต้องยกระดับการเตรียมพร้อมในพื้นที่อย่างเข้มงวด และกองทัพภาคที่2 ได้แจ้งเตือนประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนให้ดำเนินการอพยพ
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า นายอนุทินได้รับรายงานและติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยได้แสดงความห่วงใยต่อกำลังพล รวมถึงประชาชนในจังหวัดชายแดน จึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการด้านความปลอดภัย พร้อมตัดสินใจลงพื้นที่โดยเร็ว เพื่อรับฟังข้อมูลจากกองทัพและฝ่ายปกครองในพื้นที่จริงเพื่อกำหนดมาตรการสนับสนุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป
“นายกรัฐมนตรีกำชับให้กองทัพดูแลกำลังพลส่วนหน้าอย่างเต็มที่ และให้จังหวัดต่าง ๆ เตรียมระบบรองรับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะศูนย์พักพิงตามแผนอพยพ การลงพื้นที่ครั้งนี้ก็เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมมาตรการรองรับหากมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้น”น.ส.ไตรศุลีกล่าว
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ข้อมูลจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า เหตุปะทะเกิดขึ้นเวลา 14.15 น. ของวันที่ 7 ธ.ค. หลังฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อนบริเวณภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน ทำให้ฝ่ายไทยตอบโต้ ก่อนสถานการณ์ยุติลงในเวลา 14.50 น. แต่ยังคงประเมินว่ามีความไม่แน่นอนสูง หน่วยในพื้นที่ต้องตรึงกำลังและเฝ้าระวังตลอดเวลา โดยมีรายงานกำลังพลไทยบาดเจ็บ 2 นาย
น.ส.ไตรศุีกล่าวว่า นอกจากนี้ ศูนย์ปฏิบัติการ ทภ.2 ได้แจ้งเตือนประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนให้ดำเนินการอพยพตามแผน เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยการที่นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ในวันที่ 8 ธ.ค.นี้ จะมีการหารือถึงมาตรการรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมต่อไปด้วย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา