
ปปง.ให้ผู้เสียหายยื่นขอชดใช้คืน คดี ส.พิเชษฐ์ อดีต กก.ผจก.บ.ไทยฟาร์มเมอร์ หลอกลงทุนเทรดเงิน เสียหาย 114 ล. ตามอายัดเงิน/หน่วยลงทุนได้ 1.8 แสน ถูกศาลแขวงสุพรรณฯ - นครปฐม สั่งจำคุกฐานฉ้อโกง 2 คดีหลายปีคดีถึงที่สุด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เปิดให้ผู้เสียหายคดี นาย ส.พิเชษฐ์ พรหมรัตน์ อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยฟาร์มเมอร์ โปรดักส์ จำกัด ยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิเพื่อเฉลี่ยทรัพย์คืนได้ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569
ประกาศ ระบุ สืบเนื่องจากคณะกรรมการธุรกรรมมีมติให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว รายคดี นาย ส.พิเชษฐ์ พรหมรัตน์ กับพวก ในความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ โดยมีพฤติการณ์ชักชวนผู้เสียหายให้นำเงินมาร่วมลงทุนเทรดเงินหรือลงทุนกับสถาบันการเงินในต่างประเทศ อ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงถึง 3-4 เท่า จนผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้รวมเป็นเงิน 114,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสิบสี่ล้านบาท) แต่นาย ส.พิเชษฐ์ กลับถอนเงินดังกล่าวออกไปจนหมดและไม่ได้นำไปลงทุนจริง
ปปง. ได้มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย. 277/2568 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ให้ อายัดทรัพย์สิน ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 12 รายการ (เป็นเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารและหน่วยลงทุน) ในชื่อนาย ส.พิเชษฐ์ และบริษัท ไทยฟาร์เมอร์ โปรดักส์ จำกัด รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 181,874.17 บาท พร้อมดอกผล โดยมีกำหนดอายัดชั่วคราว 90 วัน
ทั้งนี้ นาย ส.พิเชษฐ์ ได้ถูกดำเนินคดีอาญาและศาลได้มีคำพิพากษาจนคดีถึงที่สุดแล้วในความผิดฐานฉ้อโกง 2 คดีสำคัญ คือ 1) ศาลแขวงสุพรรณบุรี พิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี และให้คืนเงินจำนวน 114,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย และ 2)ศาลแขวงนครปฐม พิพากษาลงโทษจำคุก 8 ปี 24 เดือน ในความผิดฐานฉ้อโกง
ผู้เสียหายในคดีดังกล่าวสามารถยื่นคำร้องขอรับคืนทรัพย์สินที่ ปปง. อายัดไว้ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยต้องยื่นภายในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569 ผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในประกาศ ปปง.
อ่านประกาศ: https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/93962.pdf
สำนักข่าวอิศรา รายงานเพิ่มเติมว่า คำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย. 277/2568 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เรื่อง อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว ราย นาย ส.พิเชษฐ์ กับพวก ในคดีฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ โดยมีพฤติการณ์ชักชวนผู้เสียหายร่วมลงทุนเทรดเงินและกองทุนต่างประเทศ อ้างผลตอบแทนสูง จนผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินกว่า 114 ล้านบาท แต่กลับถอนเงินหนีและไม่ได้ลงทุนจริง ทรัพย์สินที่ ปปง.มีคำสั่งอายัด จำนวน 12 รายการ เป็นเงินในบัญชีเงินฝากและหน่วยลงทุน ในชื่อนาย ส.พิเชษฐ์ และบริษัท ไทยฟาร์เมอร์ โปรดักส์ จำกัด รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 181,874.17 บาท
คำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมมีรายละเอียด ดังนี้
ด้วยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายณัฐพล ตามหนังสือฉบับลงวันที่ 11 เมษายน 2567 ขอให้ดำเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานฉ้อโกงเป็นปกติธุระตามมาตรา 3 (18) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 รายนาย ส.พิเชษฐ์ กับพวก ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ กล่าวคือ
เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2560 ถึงวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 นาย ส.พิเชษฐ์ กับพวก ได้ชักชวนนายชัยสิทธิ์ ผู้เสียหาย ให้นำเงินมาร่วมลงทุน โดยนาย ส.พิเชษฐ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยฟาร์เมอร์ โปรดักส์ จำกัด อ้างว่าจะนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อด้วยวิธีการเทรดเงิน หรือนำเงินไปลงทุนกับสถาบันการเงินในต่างประเทศ และผู้เสียหายจะได้รับผลตอบแทนเป็นจำนวน 3-4 เท่าของเงินที่นำมาลงทุน ก็ต่อเมื่อได้โอนเงินและได้เข้าเป็นสมาชิกในการเทรดเงินเป็นเวลาประมาณ 4 เดือนแล้ว
นายชัยสิทธิ์ ผู้เสียหาย หลงเชื่อตามคำชักชวนดังกล่าว เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 จึงได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสองพี่น้อง จำนวน 114,000,000 บาท ให้แก่บริษัท ไทยฟาร์เมอร์ โปรดักส์ จำกัด ซึ่งในขณะนั้นมีนาย ส.พิเชษฐ์ เป็นกรรมการผู้จัดการ
ต่อมาเมื่อเดือนกันยายน 2560 นายชัยสิทธิ์ ติดตามสอบถามนาย ส.พิเชษฐ์ หลายครั้ง เกี่ยวกับผลประโยชน์ตอบแทนตามที่ตกลงไว้ นาย ส.พิเชษฐ์ แจ้งว่าอยู่ระหว่างดำเนินการ จนเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 นายชัยสิทธิ์มีหนังสือทวงถามไปยังบริษัท ไทยฟาร์เมอร์ โปรดักส์ จำกัด ซึ่งในขณะนั้นมีกรรมการผู้จัดการคนใหม่ มีหนังสือแจ้งกลับมาว่า เงินจำนวน 114,000,000 บาท นั้น นาย ส.พิเชษฐ์ ได้ถอนออกจากบัญชีเงินฝากธนาคารทั้งหมด และบริษัทได้ถอดถอนนาย ส.พิเชษฐ์ ออกจากการเป็นกรรมการของบริษัทฯ แล้ว และบริษัทไม่เคยมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินมาลงทุนกับสถาบันการเงินต่างประเทศแต่อย่างใด
พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสองพี่น้องได้รับเป็นคดีอาญาที่ 338 ดำเนินคดีแก่นาย ส.พิเชษฐ์ ในความผิดฐานฉ้อโกง ต่อมาศาลแขวงสุพรรณบุรี ในคดีหมายเลขแดงที่ อ 2686/... มีคำพิพากษาว่า นาย ส.พิเชษฐ์ จำเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ลงโทษจำคุก 3 ปี กับให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินจำนวน 114,000,000 บาท และศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว
นอกจากนี้ นาย ส.พิเชษฐ์ ยังถูกดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงในคดีอื่นด้วย โดยศาลแขวงนครปฐม ในคดีหมายเลขแดงที่ อ 595 มีคำพิพากษาว่า นาย ส.พิเชษฐ์ จำเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ลงโทษจำคุก 8 ปี 24 เดือน และศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (18) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นาย ส.พิเชษฐ์ กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 7/2567 เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ที่ประชุมมีมติมอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตรวจสอบ
จากการตรวจสอบปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่า นาย ส.พิเชษฐ์ กับพวก มีพฤติการณ์แห่งการกระทำอันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (18) หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐาน และได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 12 รายการ พร้อมดอกผล และเนื่องจากทรัพย์สินเป็นสังหาริมทรัพย์ประเภทเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารและหน่วยลงทุน อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถโอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 34 (3) และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มติคณะกรรมการธุรกรรมในการประชุม ครั้งที่ 12/2568 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 12 รายการ พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวัน) นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติ กล่าวคือ นับตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 โดยมีรายการทรัพย์สินที่อายัดปรากฏตามบัญชีทรัพย์สินแนบท้ายคำสั่งนี้



Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา