
หนึ่งในคำถามที่ถามกันให้เซ็งแซ่อยู่ในขณะนี้ว่า เหตุใดกัมพูชาจึงกล้าเปิดฉากโจมตีไทยอีกรอบ
ทั้งๆ ที่ความเสียหายจากการสู้รบก่อนทำข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 และจับมือลงนามในปฏิญญาร่วมสู่สันติภาพ ที่กัวลาลัมเปอร์ โดยมี ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นสักขีพยาน เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 กัมพูชาเป็นฝ่ายเสียหายอย่างหนัก
อีกทั้งหากเปรียบเทียบศักยภาพการรบ และความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์ต่างๆ ฝ่ายกัมพูชาเสียเปรียบไทยทุกประตู
แล้วการเปิดฉากยิงใส่ก่อน (แม้จะพยายามปั่นเฟคนิวส์ว่าไทยเริ่มก่อน…ตามเคย) ฝ่ายกัมพูชาได้ประโยชน์อะไร และคุ้มค่าแค่ไหนกับความเสียหายที่จะตามมา
อาจารย์กฤษฎา บุญเรือง นักวิชาการอิสระ จากรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา วิเคราะห์และให้คำตอบเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
1. ผู้นำกัมพูชาจำเป็นต้องทำให้ประเทศอยู่ในสถานการณ์สงครามต่อไปเรื่อยๆ
- เพราะผู้นำอาจสิ้นอำนาจ “หากไม่มีกระแสชาตินิยมมาเบียด-บัง หรือกลบปัญหาเศรษฐกิจ”

อาจารย์กฤษฎา อธิบายว่า ความไม่พอใจของชาวกัมพูชาต่อความล้มเหลวของผู้นำเผด็จการหลายทศวรรษ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้ อาจนำมาสู่การประท้วงและเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง
ฉะนั้น การมีสงครามจะทำให้ชาวกัมพูชาสนใจกับความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ และลดการกดดันรัฐบาลเรื่องเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างรุนแรงมากจากปัญหาความขัดแย้งชายแดนกับไทย ทั้งๆ ที่มาตรการปิดด่านของไทย และการหวนกลับสู่บ้านเกิดของแรงงานจำนวนหลายแสนคน ซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจที่ทรุดโทรมจากภาวะวิกฤตโควิดที่ยังแก้ไม่ตก
2. กัมพูชาหวังให้ไทยตอบโต้ และ “ใช้ความเป็นเหยื่อของการถูกรังแก” เพื่อจะนำข่าวไปกระพือ
อาจารย์กฤษฎา อธิบายว่า ผู้นำกัมพูชาได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว จึงสั่งการให้มีการโจมตีแบบจำกัด เพื่อให้กองทัพไทยตอบโต้ และเมื่อได้ผลจริงอย่างที่ต้องการจึงสามารถแพร่ข่าวผ่านสื่อมวลชนระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว ทั้ง CNN, BBC, Reuters, NBC News, CBS News, Sky news, Al Jazeera, The Guardian, Bloomberg, Fox News, AP News ฯลฯ
สังเกตได้ว่าทุกสื่อต่างเสนอข่าวสอดคล้องกันเรื่องกองทัพอากาศไทยใช้เครื่องบินโจมตีกัมพูชา (เปิดปฏิบัติการทางอากาศ โดยไม่ได้รายงานถึงสาเหตุที่ทำให้ไทยต้องเปิดปฏิบัติการ)
อีกด้านหนึ่ง กัมพูชาก็รีบฟ้องต่อหลายองค์กร โดยเฉพาะผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งผู้นำกัมพูชามีคณะล็อบบี้ยิสต์ในวอชิงตัน ดี.ซี. ประจำอยู่แล้ว
กรณีของประธานาธิบดีทรัมป์ แน่นอนว่าเขาจะเห็นข่าวของการโจมตีทางอากาศของกองทัพไทย แต่ทรัมป์ขาดความละเอียดในการวิเคราะห์จากข้อเท็จจริง จึงอาจมีโมหะ เนื่องจากประกาศว่าตนเป็นผู้นำมาสู่สันติภาพระหว่างสองประเทศนี้ และเป็นส่วนหนึ่งของความหวังในรางวัลโนเบลสันติภาพที่จะต้องสรุปรายชื่อผู้ที่มีโอกาสควรได้รับการพิจารณาภายในสิ้นเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์
ฉะนั้นในมุมมองของทรัมป์ อาจนำมาสู่การสรุปว่า ไทยเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ หรือที่เรียกว่าปฏิญญาร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการประชุมที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่ลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ในงานประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
ทรัมป์อาจลงโทษไทย เช่น ประกาศขึ้นอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากไทยอย่างรุนแรง เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ ผู้นำไทยจะต้องรีบติดต่อโดยด่วนทุกวิถีทางก่อนที่จะมีการประณามและประกาศลงโทษโดยประธานาธิบดีทรัมป์
อาจารย์กฤษฎา ย้ำว่า การชี้แจงต่อสหประชาชาติ และองค์กรอื่นๆ รวมทั้งสื่อมวลชนต่างประเทศ สื่อมวลชนระดับโลกนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่เรื่องทำเนียบขาวนั้นเป็นสิ่งที่อ่อนไหวเรื่องความเร็วและพลาดอีกไม่ได้
3. ความกดดันเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ สแกมเมอร์ ทั้งของไทยและสหรัฐฯ เป็นอีกหนึ่งแรงกดดันที่ทำให้กัมพูชาต้องเร่งเปิดสงคราม
อาจารย์กฤษฎา อธิบายว่า การสืบสวนสอบสวนและการยึดทรัพย์ รวมทั้งการประสานงานของไทยกับหลายประเทศ โดยเฉพาะกับสหรัฐอเมริกา สร้างแรงสะเทือนต่อรายได้ของผู้นำกัมพูชาจากเงินสีเทา และเป็นอันตรายต่อกลุ่มผู้นำของกัมพูชาเรื่องการถูกคว่ำบาตร หรือคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ และการเงินการธนาคารระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะการยึดทรัพย์สินของกลุ่ม Prince เป็นจำนวนระดับประวัติศาสตร์สูงสุดของสหรัฐฯ 127,271 บิตคอยน์ มีมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เกือบ 5 แสนล้านบาท) เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม
ขณะที่เมื่อวันที่ 27 กันยายน นายอดัม สมิธ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ พรรคเดโมแครต รัฐวอชิงตัน และสมาชิกอาวุโสคณะกรรมาธิการกำลังทหารประจำสภาผู้แทนราษฎร ได้นำคณะผู้แทนรัฐสภาจากทั้งสองพรรคเดินทางเยือนกัมพูชา ซึ่งประกอบด้วย นายไมเคิล บอมการ์ตเนอร์ สมาชิกพรรครีพับลิกัน รัฐวอชิงตัน และน ายคริสซี ฮูลาฮาน สมาชิกพรรคเดโมแครต รัฐเพนซิลเวเนีย
ซึ่งนอกเหนือจากการหารือเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชาและความร่วมมือด้านความมั่นคงแล้ว ยังเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทย รวมถึงเสถียรภาพในภูมิภาค แต่ประเด็นที่เชื่อว่าสำคัญที่สุดเป็นเรื่องการกดดันให้รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการเพิ่มเติมเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในกัมพูชา และหลอกลวงชาวอเมริกัน
ที่สำคัญ ผู้นำกัมพูชามีความกังวลอย่างมากกับร่างกฎหมาย H.R. 5490 หรือ พระราชบัญญัติการรื้อถอนกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ (H.R. 5490, the Dismantle Foreign Scam Syndicates Act) เพราะมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อสู้กับปฏิบัติการฉ้อโกงออนไลน์ขนาดใหญ่ ซึ่งมักมีต้นตอมาจาก “ศูนย์หลอกลวง” หรือ scam centers ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ดำเนินการโดยกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ และถูกขับเคลื่อนโดยการค้ามนุษย์ และแรงงานบังคับ หรือแรงงานทาส
ร่างกฎหมายฉบับนี้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจระหว่างหน่วยงานชุดใหม่ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน เพื่อนำยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมของรัฐบาลสหรัฐฯ ยุทธศาสตร์นี้ประกอบด้วยการกดดันรัฐบาลต่างประเทศ การกำหนดมาตรการคว่ำบาตรผู้กระทำผิดและผู้สนับสนุน และการพัฒนาความร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น ธนาคารและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อหยุดยั้งการหลอกลวงเหล่านี้
สถานะปัจจุบันของร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้รับการเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร (รัฐสภาชุดที่ 119) เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 ต่อมาได้ส่งต่อไปยังคณะกรรมการกิจการต่างประเทศ และตุลาการของสภาผู้แทนราษฎร และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกฎหมายอนุมัติใหม่ของกระทรวงการต่างประเทศ ณ ต้นเดือนธันวาคม 2568
หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านการอนุมัติโดยรัฐสภา และเซ็นรับรองโดยประธานาธิบดี ก็จะทำให้หลายกลุ่มและบุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้นำกัมพูชาถูกคว่ำบาตรและดำเนินคดีอาญา รวมทั้ง เบน สมิธ และ ยิม เลียก ที่เพิ่งถูกทางการไทยอายัดทรัพย์กว่า 1 หมื่นล้านบาทด้วย
