
เหตุรุนแรง 2 เหตุการณ์ที่มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเป้าหมาย ทำให้ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่เกิดเหตุทันที พร้อมประณามคนร้ายที่ปฏิบัติการอย่างไร้มนุษยธรรม ขณะที่ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี วิงวอนให้ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรงตอบโต้กัน
เหตุรุนแรง 2 เหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ติดตามข่าวสารทั่วประเทศ เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 2 พ.ค.68
เหตุแรกเกิดช่วงค่ำ คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้รถจักรยานยนต์ จำนวน 3 คันเป็นพาหนะ แล้วใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดกราดยิงเข้าไปบริเวณบ้านหลังหนึ่ง ในท้องที่หมู่ 5 ต.โฆษิต อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ 2 ราย เสียชีวิต 3 ราย หนึ่งในผู้เสียชีวิตเป็นเด็กน้อยวัย 9 ขวบเท่านั้น
ผู้เสียชีวิต 3 ราย คือ นายดำ จันทร์คง อายุ 46 ปี, เด็กหญิงสสิดา จันทร์คง อายุ 9 ปี และ นายแดง ตุนาสุข อายุ 58 ปี
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย คือ นายภาคีไนย รังเสาร์ อายุ 29 ปี และ นายเชาว์ จันทร์คง อายุ 44 ปี ขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตากใบ
เหตุที่ 2 เกิดขึ้นช่วงบ่ายก่อนหน้านั้น กลุ่มคนร้ายยังได้ลอบยิงหญิงชราตาบอดจนเสียชีวิต ในพื้นที่ ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส โดยลูกชายวัย 50 ปีของหญิงชรา ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย เหตุเกิดระหว่างลูกขับขี่รถจักรยานยนต์พาแม่ไปโรงพยาบาล กำลังเดินทางกลับบ้าน
ภายหลังเกิดเหตุ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุทั้งสองจุดทันที พร้อมประณามการกระทำอันโหดเหี้ยมว่า “เป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม ป่าเถื่อน และไร้ความเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ที่สามารถลั่นไกใส่ผู้บริสุทธิ์ซึ่งไม่มีทางสู้ได้ลงคอ”
@@ เปิดไทม์ไลน์ปฏิบัติการข่าวลือ-ปั่นกระแสตอบโต้
พล.ท.ไพศาล กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.68 เป็นต้นมา เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงต่อเนื่องในพื้นที่ จ.นราธิวาส เริ่มจากการลอบยิงผู้นำศาสนา โดยมีกลุ่มผู้ก่อเหตุพยายามบิดเบือนว่าเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ (เคสยิงอดีตอุสตาซ ที่ อ.สุไหงโก-ลก) ส่งผลให้เกิดการตอบโต้รุนแรงหลายครั้ง เช่น การลอบวางระเบิดที่ สภ.โคกเคียน, การยิงประชาชนไทยพุทธที่ อ.แว้ง และเหตุยิงพระสงฆ์ กับสามเณรขณะออกบิณฑบาต รวมถึงเหตุยิงซ้ำอีกสองครั้งในวันที่ผ่านมา (ยิงคนชราที่ อ.จะแนะ และครอบครัวของเด็ก 9 ขวบที่ อ.ตากใบ) ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
@@ เพิ่มมาตรการ รปภ.ระดับสูงสุด - จนท.ห้ามลา

ทั้งนี้ ตนได้สั่งเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด ทั้งระงับการลาของเจ้าหน้าที่ เน้นการทำงานร่วมกันของผู้นำท้องถิ่นและผู้นำศาสนา กำชับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ตรวจสอบและเสริมกำลังในจุดที่มีกำลังไม่เพียงพอ โดยเน้นการป้องกันช่วงเวลาละหมาดค่ำ 19.00 – 20.00 น. ซึ่งมักถูกใช้เป็นจังหวะในการก่อเหตุ
ปัจจุบันเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามจับกุมผู้กระทำผิด โดยมีเบาะแสและร่องรอยแล้ว พร้อมขอให้ประชาชนทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมร่วมมือและมั่นใจในมาตรการรักษาความปลอดภัยที่กำลังดำเนินการอยู่
@@ ผู้นำศาสนาย้ำถึงมุสลิมใต้ ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนสงคราม

ด้าน นายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ได้กล่าวร้องขอให้ทุกฝ่ายใช้แนวทางสันติ และขออย่าใช้ความรุนแรงต่อกัน โดยเฉพาะอิสลามมิกชน ขอให้ยึดถือตามที่จุฬาราชมนตรีได้ให้คำแนะนำ คือดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่ดินแดนสงคราม รวมทั้งขอให้องค์กรรัฐและเอกชนทุกภาคส่วน ร่วมกันหาวิธีแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ต่อไป
@@ กอ.รมน.จี้ทุกภาคส่วนร่วมประณาม
ด้าน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อเหตุที่เกิดขึ้น และขอประณามการกระทำของกลุ่มคนร้ายซึ่งเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม กระทำต่อหญิงชราตาบอด ชายชรา และเด็กน้อยไร้เดียงสา พร้อมทั้งขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันประณามการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในครั้งนี้ และร่วมกันต่อต้านการใช้ความรุนแรงอันเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยม ไร้มนุษยธรรม ผิดต่อกฎหมายและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างยิ่ง ซึ่งสร้างความเศร้าสลดใจแก่ผู้พบเห็นและต่อสังคมโดยรวม
ทั้งนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมเป็นหูเห็นตาให้แก่เจ้าหน้าที่ในการสังเกตและแจ้งข่าวสาร บุคคล และวัตถุต้องสงสัย โดยแจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์สายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 โทร 061-1732999 หรือเบอร์สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. 1341 หรือหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
@@ เตือนอย่าเชื่อข่าวลือ - ช่วยคนผิด โทษถึงคุก
รวมทั้งแจ้งไปยังผู้ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิดด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การนำพาซ่อนเร้น การให้การสนับสนุนที่พักพิง หรือการสนับสนุนเสบียงอาหาร จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และขอให้พี่น้องประชาชนกรุณาตรวจสอบ และโปรดใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองข้อมูลข่าวสาร อย่าหลงเชื่อ ไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลต่อ ในข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ หรือยืนยันจากหน่วยงานที่เป็นทางการในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพราะอาจตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่หวังสร้างความแตกแยกในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
