
สภาที่ปรึกษาฯ คัดเลือกผู้แทนภาคประชาชน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เสนอนายกฯแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ กพต. ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาปลายด้ามขวานร่วมกับ 19 รัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการ เผยเป็นไปตามมาตรา 6 กฎหมาย ศอ.บต.
วันพฤหัสบดีที่ 3 ก.ค.68 ที่ห้องประชุมปัญจเพชร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) อ.เมือง จ.ยะลา นายขดดะรี บินเซ็น ประธานสภาที่ปรึกษาการบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมด้วยสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ได้จัดประชุมสภาที่ปรึกษาฯ ครั้งที่ 4/2568 เพื่อพิจารณารายชื่อ “ผู้แทนภาคประชาชน” ให้มาปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานพัฒนาในพื้นที่
โดยผู้แทนภาคประชาชนจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับการคัดเลือกจากสภาที่ปรึกษาฯ ให้ปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการ กพต. ประกอบด้วย
1. ว่าที่ ร.ต.โมฮามัดยาสรี ยูซง ผู้แทนภาคประชาชนจังหวัดปัตตานี (อดีต สส.ปัตตานี)
2. ร.ต.ดร.อับดุลฮาฟิซ หิเล ผู้แทนภาคประชาชนจังหวัดยะลา (ประธานเครือข่ายโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้)
3. นายนัจมุดดีน อูมา ผู้แทนภาคประชาชนจังหวัดนราธิวาส (อดีต สส.นราธิวาส )
4. นายอัฐนนท์ เส็มยามา ผู้แทนภาคประชาชนจังหวัดสงขลา
5. นายอาณัติ โชติพัฒนกิจ ผู้แทนภาคประชาชนจังหวัดสตูล (ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสตูล)
รายชื่อตัวแทนภาคประชาชนที่ได้รับคัดเลือก จะมีการนำเสนอเพื่อเข้ารับการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีเป็นลำดับถัดไป

สำหรับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่เป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่นายกฯมอบหมาย เป็นรองประธาน ร่วมด้วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่นายกฯมอบหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยคนหนึ่ง รวมรัฐมนตรีทั้งหมด 19 คน ร่วมเป็นกรรมการ
นอกจากนี้ ยังมีเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ 5 จังหวัด (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล) ประธานสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และผู้แทนภาคประชาชนจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากสภาที่ปรึกษาฯ จังหวัดละ 1 คน
โดยผู้แทนภาคประชาชนที่ได้รับเลือกมาเป็นคณะกรรมการ กพต. จะมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
@@ “อัญชนา” ร้อง อสส. โดนฟ้องไม่เป็นธรรม

อีกด้านหนึ่ง มีสถานการณ์ที่คนของภาคประชาสังคมชายแดนใต้ ถูกหน่วยงานราชการ ซึ่งถือเป็นหน่วยงานความมั่นคง ฟ้องร้องดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท และได้ยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมไปยังอัยการสูงสุด
อัญชนา หีมมิหน๊ะ นายกสมาคมด้วยใจเพื่อการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (Duayjai Association for Humanitarian Affairs) ในฐานะนักสิทธิมนุษยชนที่ทำงานด้านสันติภาพและสิทธิมนุษยชนในชายแดนใต้ เดินทางพร้อมทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมถึงอัยการสูงสุด
สืบเนื่องจากกรณีที่ อัญชนาโพสต์ข้อความใน Facebook ตั้งคำถามเรื่องการค้างจ่ายค่าน้ำประปามัสยิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ทว่ากลับถูกกองทัพเรือแจ้งความกลับ ต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องอัญชนาในข้อหานำข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1)
ในการยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อเน้นย้ำว่า ข้อความที่โพสต์ กระทำโดยสุจริต และเพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนในพื้นที่ตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง เป็นประโยชน์ต่อสังคม อีกทั้งมีข้อเท็จจริงที่เชื่อมโยงกันเป็นเหตุเป็นผล ไม่ได้เป็นการนำข้อความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และไม่ได้เป็นการใส่ความผู้ใด
ความเป็นมาของเรื่องนี้คือ เมื่อวันที่ 8 พ.ค.67 อัญชนาได้โพสต์ข้อความใน Facebook ส่วนตัวว่า “ทำไงดีมัสยิดใน อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ทวงเงินค่าน้ำประปาจากค่ายทหารที่มาใช้น้ำประปาของมัสยิดเป็นเงิน 20,000 บาท ไม่ได้ ต้องไปร้องเรียนที่ใคร” ซึ่งปรากฏว่าอัญชนาได้กล่าวอ้างถึงผิดพื้นที่ และได้มีการแก้ไขพื้นที่ร้องเรียนเป็นมัสยิดใน ต.บือเระ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซึ่งต่อมาก็มีหน่วยทหารพรานที่ 44 ได้เข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงถึงการค้างชำระที่กำลังดำเนินการผ่อนจ่ายค่าน้ำประปาให้กับทางมัสยิดแล้ว
อย่างไรก็ตาม วันที่ 19 ก.ค.67 กลับมีผู้รับมอบอำนาจจากกองทัพเรือ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ. บาเจาะ จ. นราธิวาส ว่าการกระทำดังกล่าวของอัญชนาเป็นเหตุให้หน่วยทหารของกองทัพเรือที่ปฏิบัติหน้าที่ในท้องที่ อ.บาเจาะ ได้รับความเสียหาย ต่อมาวันที่ 17 มิ.ย.68 อัยการจังหวัดนราธิวาสมีความเห็นสั่งฟ้องอัญชนา ในฐานความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
