
เอกสารคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่จะแถลงต่อรัฐสภาในวันจันทร์ที่ 29 ก.ย.68 นั้น ตัวเอกสารมีปกสีน้ำเงิน และเนื้อหามีความยาวทั้งหมด 48 หน้า
แต่ในส่วนที่เป็นคำแถลงนโยบายจริงๆ มีเพียง 7 หน้า ที่เหลือเป็นส่วนของภาคผนวก กับประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี และรายชื่อรัฐมนตรีทั้งหมด ฉะนั้นหากนับเฉพาะเนื้อหานโยบาย ถือเป็นคำแถลงนโยบายที่สั้นกระชับมาก
รายละเอียดในคำแถลงนโยบาย ได้กำหนดนโยบายสำคัญที่จะแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศทั้งหมด 5 ด้าน ประกอบด้วย
1.ด้านเศรษฐกิจ
- จะสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ การจัดทำโครงการคนละครึ่ง
- แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง บนพื้นที่ฐานความเสี่ยงที่เป็นธรรมระหว่างสถาบันการเงินและผู้กู้ โดยหนี้ภาคประชาชน จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้รายบุคคลรายละไม่เกิน 1 แสนบาท ส่วนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท
- เพิ่มโอกาสการออมของประชาชนรายย่อย โดยพันธบัตรรัฐบาลและผลิตภัณฑ์สลากเพื่อการออม
- ฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว โดยจัดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวให้ความสำคัญการท่องเที่ยวเมืองรอง ดึงดูดชาวต่างชาติให้อยู่ยาวและใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
- เร่งแก้ปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า โดยจัดตั้ง “ทีมไทยแลนด์” เข้ามาดูแล เพื่อดึงดูดการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบมาตรการภาษีของอเมริกา
2.ด้านความมั่นคง
- เร่งแก้ปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาด้วยแนวทางสันติภาพ รักษาอธิปไตยและเขตแดนที่เป็นของไทย และดำเนินการยุติความขัดแย้งผ่านกลไกที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยการทำประชามติยกเลิก MOU ระหว่างไทย -กัมพูชา
สำหรับนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขียนเอาไว้ 4 บรรทัด ดังนี้
“เร่งแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรัฐบาลจะเร่งรัดปรับแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในด้านการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน คู่ขนานไปกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน”
3.ด้านสังคม
- ปราบปรามการพนันผิดกฎหมายทุกรูปแบบอย่างจริงจัง
- รักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
- ขจัดทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาดและจริงจัง
- พิทักษ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ
4.ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
- ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ โดยส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด (พลังแสงอาทิตย์) ในภาคอุตสาหกรรม, พัฒนายกระดับวิถีเกษตรกรไปสู่เกษตรกรรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากลและผลักดันกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว
5.ด้านการบริหารภาครัฐ การปฏิรูปกฎหมาย
-เร่งรัดการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ควบคู่การผลักดันการเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐและเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการยกระดับการบริหารภาครัฐให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
- เร่งรัดการปฏิรูปกฎหมาย กฎระเบียบ โดยยกเลิกกฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคและสร้างภาระที่ไม่จพเป็นแก้ประชาชนและภาคธุรกิจ
@@ ถอดรหัสไฮไลต์ 4 นโยบายเร่งด่วน
จากนโยบายที่แถลง ถอดไฮไลต์ได้ 4 นโยบายสำคัญที่น่าจะเรียกเสียงฮือฮาจากประชาชนและผู้ติดตามข่าวสาร คือ
1.จัดทำรัฐธรรมนูญโดยประชาชนมีส่วนร่วม + จัดทำประชามติ
- ส่งสัญญาณน้ำเงินไปต่อกับส้ม คือยังเป็นพันธมิตรกันระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับพรรคประชาชน
- อาจให้ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ปรับจูนแนวทาง
2.ปลดหนี้หรือปล่อยกู้ประชาชนรายละ 1 แสนบาท (เพื่อให้ไปใช้หนี้หรือลดหนี้)
- ในร่างนโยบายใช้คำว่า “ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาหนี้รายบุคคลในระบบ รายละไม่เกินหนึ่งแสนบาท เพื่อลดปัญหาหนี้ที่ทำให้คนไทยติดกับดักหนี้”
- แปลว่ารัฐบาลจะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลให้ เพดานคือ 1 แสนบาท ต่ำกว่านั้นก็ได้ ด้วยวิธิการทียังไม่เปิดเผย แต่น่าจะมีความหลากหลาย
3.ปลดหนี้หรือปล่อยกู้เอสเอ็มอี รายละ 1 ล้านบาท (เพื่อให้ไปใช้หนี้หรือลดภาระหนี้)
- ในร่างนโยบายใช้คำว่า “เพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รายละไม่เกินหนึ่งล้านบาท ควบคู่กับการสร้างระบบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับลูกหนี้ที่มีวินัยในการชำระหนี้โดยสม่ำเสมอ”
- แปลว่าจะมีทั้งเติมเงินเป็นสภาพคล่อง และสร้างระบบให้เข้าถึงแหล่งทุน เช่น ลดเงื่อนไขการกู้ เน้นลูกหนี้ชั้นดี
เป็นที่น่าสังเกตว่า นโยบายข้อ 2 กับข้อ 3 เท่ากับ “เกทับ - บลัฟแหลก” รัฐบาลเพื่อไทยหรือไม่ เพราะดำเนินนโยบาย “แจกเงินหมื่น” ไม่สำเร็จ แต่รัฐบาลภูมิใจไทยขายแนวทางปลดหนี้คนธรรมดา รายละ 1 แสน และเอสเอ็มอีถึงรายละ 1 ล้าน มากกว่าแจกเงินหมื่น 10-100 เท่า และเอสเอ็มอีได้ด้วย ถือเป็นนโยบายประชานิยม หวังผลระยะสั้น และเขย่าสนามเลือกตั้งแน่นอน “คนละครึ่ง - รายละแสน - กิจการละล้าน”
4.ทำประชามติ ยกเลิกเอ็มโอยู 43-44
- เกาะกระแส “ชาตินิยม” ไม่มีแผ่ว
- โยนภาระการพิจารณายกเลิก เอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับให้ประชาชนตัดสิน ส่วนรัฐบาลลอยตัว
- เป็นวิธีการเหนือชั้นกว่ารัฐบาลเพื่อไทยที่รีรอ และพยายามอธิบายเหตุผลในการไม่ยกเลิก ยิ่งทำให้ประชาชนคลางแคลงใจ
- งานนี้หากเพื่อไทย หรือพรรคประชาชนขวาง จะกลายเป็นเสียคะแนน
@@ นโยบายดับไฟใต้ไม่ชัดเจน ไร้แนวทางตั้งคณะพูดคุยฯ

จากคำแถลงนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะในเรื่องของนโยบายด้านความมั่นคง ที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะเข้ามากำกับดูแลเอง นอกจากเรื่องการแก้ปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ที่จะมีการทำประชามติยกเลิกเอ็มโอยู 43-44 แล้ว
ในส่วนของนโยบายดับไฟใต้ ที่เขียนเอาไว้กว้างๆ แค่ 4 บรรทัด ไม่ได้มีการระบุหรือกล่าวถึงความชัดเจนในเรื่องการตั้งคณะพูดคุยสันติสุข/สันติภาพ ว่าจะมีการดำเนินการสานต่อกระบวนการพูดคุยหรือไม่อย่างไร รวมถึงความคืบหน้าการถอนกำลังทหารและส่งมอบพื้นที่ให้กำลัง อส.มาดูแลแทน ทั้งๆ ที่ นายกฯอนุทิน ควบตำแหน่ รมว.มหาดไทย
ขณะที่การยกเลิกหรือลดระดับการใช้กฎหมายพิเศษต่างๆ ในพื้นที่ เช่น กฎอัยการศึก หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่มีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่าย ก็ไม่มีการพูดถึง
@@ ให้อำนาจเต็ม ผบ.ทบ. - รอง ผอ.รมน. จัดการเบ็ดเสร็จ
มีรายงานข่าวจากแหล่งข่าวความมั่นคงว่า นายกฯอนุทินได้มอบหมายภารกิจการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ฝ่ายทหารรับผิดชอบแบบ “เต็มมือ” โดยมีผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ซึ่งเป็น รอง ผอ.รมน. (รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) โดยตำแหน่ง ไปดำเนินการด้านบริหารจัดการกันเอง ซึ่งทางกองทัพบกได้เรียกแม่ทัพภาคที่ 4 และผู้บังคับหน่วยระดับจังหวัดในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าประชุมเรียบร้อยแล้ว
@@ ปัญหาชายแดนไร้ตอนจบ - สามเหลี่ยมภัยคุกคาม “ไฮบริด”

จากนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐบาลอนุทิน ทำให้นักวิชาการที่เชี่ยวชาญแสดงความกังวลไม่น้อย เพราะสถานการณ์ภัยคุกคามมีพลวัตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีลักษณะเป็น “ไฮบริด” หรือ “พันธุ์ผสม - ลูกผสม”
รศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ปกติความขัดแย้ง หากอธิบายในแง่ของการสร้างเรื่องราว ย่อมต้องมีการวางแผนตอนจบที่ชัดเจน แม้ว่าในตอนเริ่มเรื่อง พื้นที่ชายแดนจะถูกใช้เป็นเวทีในการตอกย้ำอำนาจอธิปไตยของรัฐ และไม่อาจปฏิเสธมิติชาตินิยมได้เลยก็ตาม แต่หากจุดเริ่มต้นของปัญหาอยู่ที่ชายแดน ตอนจบก็ย่อมต้องแก้ไขที่ชายแดนเช่นเดียวกัน
ปัจจุบันปัญหาความมั่นคงของไทยถูกกำหนดโดยพื้นที่ชายแดน ทั้งชายแดนภาคเหนือ ภาคอีสาน และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวได้ว่าชายแดนคือเวทีหลักของทุกมิติความมั่นคง หากนายกรัฐมนตรีต้องการควบคุมปัญหานี้ จำเป็นต้องสร้าง “ตอนจบ” ของเรื่องชายแดนให้เด่นชัด
นอกจากนั้น มิติชายแดนยังคงเต็มไปด้วย “ปัญหาลูกผสม” ตั้งแต่การแบ่งแยกดินแดน ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ไปจนถึงภัยคุกคามจากสงครามในเมียนมา ปัญหาชายแดนจึงอยู่ในฐานะที่ถูกคุกคามจาก “ภัยคุกคามพันธุ์ผสม” หากนายกรัฐมนตรีต้องนั่งบัญชาการด้านความมั่นคงด้วยตนเอง การวิเคราะห์และจัดการภัยคุกคามชายแดนในฐานะภัยพันธุ์ผสม คือ “ธงหลัก” ที่จะต้องแตะให้ได้
ดังนั้น มิติชายแดนในปัจจุบันจึงเปรียบเสมือน “สามเหลี่ยมแห่งภัยคุกคาม” ครอบคลุมภาคเหนือ ภาคอีสาน และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
อาจารย์ฐิติวุฒิ บอกด้วยว่า มี 3 สิ่งที่รัฐบาลต้องตระหนักและ “ห้ามทำ” ในการจัดการปัญหาชายแดน
1.“ไม่ออกแบบ” ระบบราชการที่ทับซ้อนและคลุมเครือ - การแก้ไขปัญหาชายแดนต้องมีโครงสร้างการทำงานที่ชัดเจน ลดความซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน และสร้างกลไกประสานงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้การตอบสนองต่อปัญหามีทิศทางเดียวกัน
2.“ไม่ซุก”ปัญหาไว้ใต้พรม - เมื่อเกิดปัญหาความมั่นคงชายแดน รัฐบาลต้องยอมรับความจริงอย่างตรงไปตรงมา พร้อมเร่งหามาตรการแก้ไขโดยไม่ปล่อยให้สะสมจนกลายเป็นวิกฤติใหญ่
3.“ไม่แยแส” ต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ - ต้องตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของภัยคุกคามที่ซับซ้อนและแทรกซ้อนในพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามลูกผสม ปัญหาข้ามชาติ หรือความขัดแย้งภายในประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งผลกระทบต่อไทย
