
พรรคเพื่อไทยเดินหน้าโชว์ความพร้อมรับเลือกตั้ง ล่าสุดมีการเปิดเผยรายชื่อผู้สมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ อย่างไม่เป็นทางการของพรรค จำนวน 100 รายชื่อ
เป็นการเปิดชื่อ “ตามตัวอักษร” ยังไม่ได้จัดลำดับ คล้ายๆ กับที่พรรคประชาชนเปิดก่อนหน้านี้
วิธีการเปิดรายชื่อลักษณะนี้ ทำให้ “คอการเมือง” ได้ลุ้นและนำไปวิพากษ์วิจารณ์เป็นกระแสต่อได้ โดยเฉพาะรายชื่อของบุคคลประเภท “ดี-เด่น-ดัง”
จากนั้นก็มาลุ้นขั้นสุดท้ายว่าใครมีชื่อในลำดับเท่าไร เพราะจะส่งผลต่อการเป็น สส. และตำแหน่งทางการเมือง เนื่องจากคะแนนนิยมของพรรคจากการทำโพล ก็สามารถประเมินได้ว่า พรรคจะได้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์กี่ที่นั่ง
สำหรับรายชื่อว่าที่ผู้สมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทย เปิดมาครบ 100 ชื่อ เรียงตามตัวอักษร ซึ่งมีชื่อของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคทั้ง 3 คน ตามที่เคยเปิดตัวไปแล้ว ครบทั้งหมด คือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการเลือกตั้ง และ นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ หลานชายของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งพรรคเพื่อไทยยกให้เป็นแคนดิเดตลำดับที่ 1 ของพรรค
ตรวจสอบ 100 รายชื่อที่เรียงตามลำดับตัวอักษร ปรากฏว่ามีชื่อของ นายรวิศ สอดส่อง ลูกชายของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ แชมป์เก่า 2 สมัยจากการเลือกตั้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปรากฏอยู่ในบัญชีว่าที่ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทย สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์พอหอมปากหอมคอ

โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นายรวิศ มีบทบาทช่วยงานการเมืองของบิดา ในช่วงที่ พ.ต.อ.ทวี ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยทำหน้าที่ในลักษณะหัวหน้าคณะทำงานของรัฐมนตรี (พ.ต.อ.ทวี) คอยกลั่นกรองงาน และประสานงานทุกอย่าง รวมถึงออกงานแทนบิดาตามที่ได้รับมอบหมายด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายรวิศ หรือชื่อเล่นชื่อ “วิน” ลูกชายของ พ.ต.อ.ทวี เคยมีชื่อร่วมเรียนในหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “มินิ วปอ.” รุ่นเดียวกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้วย จึงน่าจะมีสายสัมพันธ์กันระดับหนึ่ง ระหว่าง นายรวิศ กับแกนนำพรรคเพื่อไทย นอกเหนือจากรู้จักและร่วมงานกันผ่านบิดา
นอกจากนั้น ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า ช่วงราวๆ 2 เดือนที่ผ่านมา มีข่าวลือหนาหูว่า พ.ต.อ.ทวี จะทิ้งพรรคประชาชาติไปเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้กับพรรคเพื่อไทย โดยเป็นข่าวในห้วงเวลาใกล้เคียงกับที่มีการทาบทาม นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ไปเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย จนเป็นข่าวใหญ่อยู่ช่วงหนึ่ง แต่สำหรับกรณีของ พ.ต.อ.ทวี เป็นลักษณะของข่าวซุบซิบมากกว่า
แต่ข่าวนี้ก็ดังมากในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาชาติ เพราะได้ สส.เฉพาะพื้นที่นี้พื้นที่เดียวทั่วประเทศ รวม 7 คน จากทั้งหมด 13 คน ครองแชมป์ สส.มากที่สุดของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา
และคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ที่ได้รับ จนทำให้ พ.ต.อ.ทวี ได้เป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ เช่นเดียวกับ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานที่ปรึกษาพรรคประชาชาติ ก็เป็นคะแนนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เกือบทั้งหมด
ฉะนั้นหาก พ.ต.อ.ทวี ทิ้งพรรคประชาชาติไปจริงๆ ย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทิศทางและอนาคตของพรรคอย่างแน่นอน

ข่าวลือยิ่งหนาหูมากขึ้นในช่วงเกิดมหาอุทกภัยในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพราะ พ.ต.อ.ทวี ลงพื้นที่ร่วมกับทีม สส.และแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายครั้ง ขึ้นรถบรรทุกแจกถุงยังชีพของพรรคเพื่อไทย รวมถึงร่วมฟื้นฟูเมืองครั้งใหญ่กับ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ด้วย
ช่วงนั้นมีบางครั้ง พ.ต.อ.ทวี ไปประชุมพรรคประชาชาติล่าช้า จนมีข่าว “โดดประชุม” เพราะไปลงพื้นที่กับพรรคเพื่อไทย ทำให้ข่าวการไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น
ที่สำคัญ พ.ต.อ.ทวี แทบไม่ได้ลงพื้นที่ร่วมกับลูกพรรคประชาชาติเลย ทั้งๆ ที่มี สส.ของพรรคถึง 7 คน 7 เขต รวมถึงแทบไม่ได้ลงพื้นที่ไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ทั้งๆ ที่เกิดน้ำท่วมเช่นกัน แม้จะไม่หนักเท่าหาดใหญ่ก็ตาม
ข่าวลือไปไกลถึงขั้นว่า อาจมีการยุบรวมพรรคประชาชาติเข้ากับพรรคเพื่อไทยกันเลยทีเดียว
ข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า “ดีลรวมพรรค” มีแนวคิดอยู่จริง แต่ภายหลังต้องพับแผนไป เพราะในทางปฏิบัติไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากชื่อของพรรคเพื่อไทย “ขายไม่ได้” ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ฉะนั้นหากรวมพรรคประชาชาติเข้ากับเพื่อไทย ก็จะทำให้ สส.ชายแดนใต้ ถูกกลืนหายไปกับพรรคอื่น ฉะนั้นจึงต้องมีพรรคประชาชาติต่อไป เพราะถึงอย่างไร พรรคประชาชาติก็เป็นพันธมิตรของพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว การมีพรรคประชาชาติจึงเท่ากับเป็นการ “เติม สส.ชายแดนใต้” ให้กับพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
เรื่องนี้วงในทราบกันดีว่า เมื่อครั้งเจรจาจัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยไม่ได้นับ สส.ของตนเองว่ามี 141 คน แต่นับรวมพรรคประชาชาติด้วยอีก 9 คน เป็น 150 คน และนำตัวเลขนี้ไปเจรจาต่อรองเรื่องการตั้งรัฐบาลและแบ่งกระทรวง
เหตุนี้เองในท้ายที่สุด จึงไม่มีการรวมพรรคประชาชาติเข้ากับพรรคเพื่อไทย ขณะที่ข่าว พ.ต.อ.ทวี จะไปเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ก็เริ่มเงียบหายไป พร้อมๆ กับการเปิดตัว “ดร.เชน” ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ หลานชายของอดีตนายกฯทักษิณ มาเป็นตัวชูโรงแทน ร่วมกับ นายจุลพันธ์ หัวหน้าพรรค และ นายสุริยะ ผู้อำนวยการเลือกตั้ง
ภายหลัง พ.ต.อ.ทวี จึงเริ่มปรากฎตัวทำกิจกรรมร่วมกับลูกพรรคประชาชาติ โดยการนำจิตอาสากว่า 500 คน จากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปร่วม “บิ๊กคลีนนิ่ง ฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่”

ขณะเดียวกันก็ได้กลับไปประชุมร่วมกับ สส.และกรรมการบริหารพรรค พร้อมประกาศเดินหน้ากับพรรคประชาชาติ ลุยสู้ศึกเลือกตั้งในปี 2569 โดยพรรคประชาชาติยังคงมี พ.ต.อ.ทวี เป็นหัวหน้าพรรค และมี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค รวมถึง นายซูการ์โน มะทา เป็นเลขาธิการพรรค เช่นเดิม
ล่าสุดพรรคประชาชาติได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.ของพรรค ทั้ง 13 เขต ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยส่งแชมป์เก่าลงเกือบทั้งหมด นั่นก็คือ อดีต สส.ของพรรค 7 คนจาก 7 เขต แต่เหลือเพียง 6 คน เนื่องจาก นายสาเหะมูหามัด อัลอิดรุส อดีต สส.ปัตตานี ย้ายไปเปิดตัวกับพรรคภูมิใจไทย

รายชื่อว่าที่ผู้สมัคร สส.ของพรรคประชาชาติ มีดังนี้
เขต 1 - ผศ.ดร.วรวิทย์ บารู (อดีต สส.)
เขต 2 - นายอรุณ เบ็ญจลักษณ์ รองนายก อบจ.ปัตตานี
เขต 3 - นายสมมุติ เบ็ญจลักษณ์ (อดีต สส.)
เขต 4 - นายอับดุลกอฮาร์ อาแวปูเตะ ทนายมุสลิม จ.ปัตตานี
เขต 5 - นายบัณฑิต อับดุลบุตร (แทนนายสาเหะมูหามัด)
จ.นราธิวาส
เขต 1 – นายอับดุลการีม อัสมะแอ
เขต 2 - นายมูฮัมหมัดรุสดี เชคฮารูณ
เขต 3 – ผู้สมัครหน้าใหม่
เขต 4 - นายกูเฮง ยาวอหะวัน (อดีต สส.ปี 62)
เขต 5 – นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ (อดีต สส.)
จ.ยะลา
เขต 1 - นายสุไลมาน บือแนปีแน (อดีต สส.)
เขต 2 – นายซูการ์โน มะทา (อดีต สส.)
เขต 3 – นายอับดุลอายี สาแม็ง (อดีต สส.)
จากรายชื่อว่าที่ผู้สมัครทั้ง 3 จังหวัด มีเพียงยะลาจังหวัดเดียวที่อดีต สส.ยังอยู่ครบ และไม่เปลี่ยนแปลง เป็นหน้าเดิมทั้งหมด ทั้งยังมีโอกาสสูงสุดที่จะได้รับเลือกตั้งกลับเข้าสภา!
