ควันหลงจากเหตุระเบิดและวางเพลิงเผา “ปั๊มน้ำมัน และร้านสะดวกซื้อ เซเว่นฯ-บิ๊กซี” ถึง 17 จุด เมื่อกลางดึกวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ก็คือกระแสวิจารณ์ภาพจากคลิปที่ได้จากกล้องวงจรปิด บันทึกภาพพฤติการณ์ของคนร้ายเอาไว้ได้
มีการตั้งข้อสงสัยว่า ผู้ก่อเหตุกับพนักงานในร้านสะดวกซื้อ หรือแม้แต่พนักงานปั๊มน้ำมัน รู้จักกันมาก่อนหรือไม่ ทำไมถึงดูชิลล์ๆ ไม่ตกใจรีบวิ่งหนีเมื่อมีภัยมา
คลิปแรก ภาพจากกล้องวงจรปิด เหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดในปั๊มน้ำมันบางจาก สาขาดอนยาง .หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นจุดที่คนร้ายวางระเบิดรถบรรทุกที่จอดเติมน้ำมันอยู่ใกล้หัวจ่าย ถอดพฤติการณ์ของคนร้ายได้แบบนี้
-มากัน 4 คน ขี่รถจักรยานยนต์ 2 คัน
-ขี่รถวนเวียนอยู่ภายในปั๊ม เหมือนหาจุดวางระเบิด กระทั่งตัดสินใจนำไปวางใต้ท้องรถบรรทุก
-ขี่รถตระเวนไล่คนที่อยู่ในปั๊มให้ออกไป และไล่รถยนต์ที่กำลังขับเข้ามา ให้ออกไปด้วย
-เมื่อไล่รถออกจากปั๊มหมดแล้ว คนร้ายก็ขี่รถออกไป รถบรรทุกจึงระเบิด รวมเวลาปฏิบัติการ 20 นาที (23.33 น.- 23.53 น.)
“ทีมข่าวอิศรา” ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุในวันต่อมา พบว่าปั๊มน้ำมันในย่าน “แยกดอนยาง” มี 3 ปั๊มด้วยกัน แต่ปั๊มบางจากเป็นปั๊มเดียวที่ถูกวางระเบิด และปั๊มนี้มีร้าน “มินิบิ๊กซี” อยู่ด้วย แต่ไม่ได้ถูกเผาหรือถูกระเบิด
ถัดจากปั๊มบางจากไปประมาณ 100 เมตร เป็นปั๊มเชลล์ ภายในปั๊มไม่มีร้านสะดวกซื้อแบรนด์ดังอย่าง “มินิบิ๊กซี” หรือ “เซเว่นอีเลฟเว่น” มีเพียงร้านค้าท้องถิ่น และถัดจากปั๊มเชลล์ไปอีกประมาณ 400-500 เมตร เป็นปั๊ม ปตท.ขนาดใหญ่ ที่มีสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวี และมีร้านเซเว่นอีเลฟเว่นด้วย
แต่ปั๊มน้ำมันทั้งสองแห่งนี้ที่ตั้งอยู่ถัดไปนั้น ไม่ได้ถูกลอบวางระเบิด เหมือนคนร้ายมุ่งเป้าหมายมาที่ปั๊มบางจากแห่งนี้เพียงแห่งเดียว
จากการบอกเล่าของพนักงานปั๊มบางจาก ได้ข้อมูลว่า คืนเกิดเหตุคนร้ายได้ไล่พนักงานทุกคนที่อยู่ภายในปั๊มออกไปจนหมด หลังจากนั้นจึงได้เกิดระเบิดขึ้น ซึ่งผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วปั๊มใกล้ๆ กันคนร้ายเข้าไปก่อเหตุหรือไม่ พนักงานรายเดิมบอกว่า ในวันนั้นปั๊มใกล้ๆ กันปิดบริการตอนกลางคืน
จากการตรวจสอบของปั๊มที่อยู่ใกล้กับปั๊มบางจากใน google map พบว่าแจ้งเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง แต่วันเกิดเหตุได้ปิดให้บริการ
อีกหนึ่งคลิปวงจรปิดที่ว่อนอยู่ในโซเชียลมีเดีย เป็นภาพที่คนร้ายเข้าไปก่อเหตุวางเพลิงเผา “มินิบิ๊กซี” ในพื้นที่ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส
พฤติการณ์ของคนร้ายเป็นแบบนี้
-มากัน 3 คน มอเตอร์ไซค์คันเดียว ซ้อน 3 กันมาเลย
- จอดรถหน้าร้านมินิบิ๊กซี คนร้ายหนึ่งคนแต่งกายชุดดำ สะพายอาวุธปืนยาวเดินไปด้านข้างร้าน เหมือนทำหน้าที่ดูต้นทาง
-คนร้ายอีก 2 คน แต่งกายเหมือนกัน คือ สวมเสื้อแขนยาวสีเขียวคล้ายเสื้อทหาร ติดอาร์มบีอาร์เอ็น สวมหมวกและหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้า เดินถือขวดใส่น้ำมันเข้าไปภายในร้านมินิบิ๊กซี
-เมื่อเข้าไปในร้านก็เดินวนไปมา ก่อนจะเข้าไปสนทนากับพนักงานที่กำลังจัดของอยู่บริเวณชั้นวางสินค้า
จากในภาพมีพนักงานหญิงอยู่ในร้าน 3 คน คนร้ายได้คุยกับพนักงาน 1 คน คล้ายกับบอกให้พนักงานที่คุยด้วยพาเข้าไปหลังร้าน ส่วนพนักงานที่เหลือเหมือนถูกคนร้ายสั่งให้ออกไปจากร้าน ซึ่งจากภาพพนักงานได้รีบวิ่งออกจากร้านไป
ประมาณไม่ถึงนาที พนักงานที่เข้าไปข้างหลังร้านก็ออกมาพร้อมกับคนร้าย แล้วพนักงานรายดังกล่าวก็เดินออกไปจากร้าน ไปหาพนักงานที่ออกไปก่อนหน้า และขี่รถจักรยานยนต์ออกไป โดยมีคนร้ายตามไปดูว่าออกไปจากร้านแล้วหรือยัง
หลังจากนั้นคนร้ายจึงได้นำน้ำมันเชื้อเพลิงราดตามชั้นวางสินค้าแล้วจุดไฟเผา จนเกิดเพลิงลุกไหม้ แล้วจึงทยอยออกจากร้าน โดยกลุ่มคนร้ายนำถังดับเพลิงออกไปด้วย ใช้เวลาในการก่อเหตุประมาณ 3 นาทีเท่านั้น (00.06 น.-00.09 น.)
จากคลิปกล้องวงจรปิดที่เผยแพร่ออกไปทางสื่อต่างๆ ทำให้มีเสียงวิจารณ์และตั้งข้อสังเกตจากคนนอกพื้นที่ สงสัยว่าคนร้ายกับพนักงานของร้านสะดวกซื้อ รวมถึงพนักงานปั๊มน้ำมัน รู้จักกันมาก่อนหรือเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ เนื่องจากการเข้าไปก่อเหตุของคนร้าย ไม่ปรากฏว่าพกอาวุธ หรือถ้าพกก็ไม่มีการโชว์อาวุธเพื่อข่มขู่เลย แต่สามารถเข้าไปก่อเหตุได้โดยใช้เพียงการพูดคุยกับพนักงานอย่างเดียว
เรื่องนี้ “ทีมข่าวอิศรา” ได้พูดคุยกับคนใกล้ชิดของพนักงานร้านสะดวกซื้อที่เกิดเหตุ ได้รับการยืนยันว่า พนักงานในร้านไม่ได้รู้จักกับผู้ก่อเหตุแน่นอน แต่สาเหตุที่ไม่ได้ตื่นตกใจจนลนลาน เป็นเพราะพนักงานเหล่านี้เป็นคนในพื้นที่ และรับรู้ถึงการมีอยู่ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง รวมทั้งมีความเชื่อมั่นจะไม่ทำคนศาสนาเดียวกัน
แต่ความหวาดกลัวหรือไม่หวาดกลัว ก็ขึ้นกับท่าทีของคนร้ายด้วย อย่างกรณีที่ร้านเซเว่นฯ สาขาอำเภอยะหา จ.ยะลา คนร้ายหิ้วกระเป๋าระเบิดเข้าไปวางที่เคาท์เตอร์ แง้มให้เห็นด้านในกระเป๋า และบอกพนักงานว่า ถ้าไม่อยากตายให้ออกไป จากนั้นพนักงานก็รีบออกไปจากร้าน
พนักงานร้านเซเว่นฯ ที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่า คนร้ายเข้ามาคนเดียว แต่งกายคล้ายผู้หญิง สวมฮิญาบ แต่เสียงผู้ชาย เขาพูดภาษายาวีว่า ถ้าไม่อยากตายก็ออกไป โดยพูด 3 ครั้ง แล้วก็ก้มดูให้เห็นไฟกระพริบในกระเป๋าที่เขาหิ้วมา ก็เลยตัดสินใจเดินออกจากร้าน หลังจากนั้นไม่เกิน 10 นาทีก็เกิดระเบิด
พนักงานเซเว่นฯ บอกว่า "รู้สึกตกใจนะ แต่ไม่ถึงขนาดเสียสติวิ่งหนีออกไป เนื่องจากเขาใช้ภาษายาวี ซึ่งเป็นภาษาที่เราเข้าใจ เลยคิดว่าเขาคงจะเตือนดีๆ ให้ออกไป ก็เลยต้องเดินออก ในพื้นที่รู้อยู่ว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นบ่อย จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ใครบ้างเจอแบบนี้แล้วไม่กลัว”
แต่พนักงานร้านที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคน ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง
@@ เรียกเด็กปั๊มกลับมาเอามอเตอร์ไซค์
เจ้าหน้าที่ทหารรายหนึ่ง เล่าข้อมูลที่ได้จากการสอบถามพนักงานปั๊มน้ำมันบางจากที่ถูกระเบิดว่า คนร้ายได้ตะโกนบอกให้เด็กปั๊มที่อยู่ตอนนั้น 3 คนด้วยภาษายาวีว่ามีระเบิด จึงทำให้เด็กปั๊มทั้ง 3 คนวิ่งหนีออกไปหน้าปั้ม แต่คนร้ายได้เรียกให้เด็กปั๊มวิ่งกลับเข้ามาเอารถจักรยานยนต์ของพวกเขาออกไปด้วย
เมื่อออกจากปั๊มไปได้ เด็กปั๊มก็วิ่งไปแจ้ง นายอับดุลกอเดร์ อาลี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 4 ต.บางเขา อ.หนองจิก คืนนั้นพวกเขาทั้งตกใจและกลัวมากอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกเขามีสติดีมาก สาเหตุที่ดูเหมือนไม่ได้ตกใจจนขาดสติ อาจเป็นเพราะคนร้ายใช้ภาษายาวี ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น และดูเหมือนคนร้ายที่มาก่อเหตุก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเด็กปั๊ม
@@ แจ้งมวลชนล่วงหน้าก่อนก่อเหตุ
สำหรับสาเหตุที่คนในพื้นที่ไม่ค่อยกลัวเวลาเผชิญหน้ากับเหตุร้าย หรือเผชิญหน้ากับกลุ่มก่อความไม่สงบ ข้อมูลจาก “ทีมข่าวในพื้นที่” ถอดบทเรียนได้แบบนี้
1.คนในพื้นที่ชาชินกับเหตุรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นชาวบ้านมุสลิม เนื่องจากเหตุร้ายเกิดขึ้นบ่อย หลายครั้งมีเหตุระเบิดในตลาด หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่จบ ชาวบ้านก็เดินตลาดต่อ พ่อค้าแม่ค้าก็ขายกันต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นเหตุรุนแรงขนาดใหญ่จริงๆ จะทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเงียบหรือร้างไปพักหนึ่ง แต่ไม่นานก็กลับมาคึกคักเหมือนเดิม
2.คนในพื้นที่จำนวนมาก โดยเฉพาะที่เป็นมลายูมุสลิม จะไม่ค่อยกลัวเหตุรุนแรง เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่เป้าหมาย
3.มีกระบวนการแจ้งเตือนล่วงหน้ากับกลุ่มคนที่เป็นมวลชนของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไม่ให้มวลชนของตนเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่กำลังจะก่อเหตุรุนแรง จึงมีคนรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุ แต่ไม่แพร่งพรายให้คนต่างศาสนา หรือเจ้าหน้าที่ได้รับรู้
นี่เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ทำให้คนในพื้นที่ชายแดนใต้ไม่ค่อยอยู่ในสภาพ “สติแตก” เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุร้าย หรือผู้ก่อเหตุรุนแรง