เหตุระเบิดที่เกิดจากคนร้ายผูกหรือแปะวัตถุระเบิดไว้ใต้ท้องรถเป้าหมาย ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วไม่น้อยกว่า 22 ครั้งในพื้นที่ ในห้วง 21 ปีไฟใต้ ต้องถือว่าไม่ธรรมดา
อ่านประกอบ : เปิดสถิติผูกบึ้มใต้ท้องรถปลายด้ามขวานทะลุ 22 ครั้ง!
ผลของปฏิบัติการโหด แม้ไม่ได้สร้างความสูญเสียทุกครั้ง แต่หากวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกแล้วจะพบว่า เหตุระเบิดรูปแบบนี้ ซึ่งระเบิดทำงาน แต่ไม่มีใครได้รับอันตราย อาจจะเป็นความจงใจของผู้ก่อเหตุก็เป็นได้
การหาคำตอบเรื่องนี้ต้องวิเคราะห์ข้อมูลสำคัญ นั่นคือ วิธีการจุดระเบิด ซึ่งเท่าที่ตรวจสอบก็ปรากฏว่ามีทั้งระเบิดแบบตั้งเวลา และใช้รีโมทคอนโทรล
เป้าหมายที่คนร้ายต้องการมี 2 แบบ คือ
1.มุ่งเอาชีวิต
- หากเป็นระเบิดแบบตั้งเวลา ก็จะกำหนดเวลาระเบิดในช่วงที่คาดว่ามีคนอยู่ในรถ หรือมีการนำรถเข้าไปจอดในสถานที่ราชการหรือที่ชุมชน ซึ่งมีคนพลุกพล่าน (ตลาดก็เคยเกิดมาแล้ว)
- หากใช้รีโมทคอนโทรล หรือจุดระเบิดด้วยวิธีอื่น คนร้ายก็จะติดตามรถเป้าหมายไป และสั่งจุดระเบิดเมื่อสบโอกาสตามที่ตนต้องการ
2.มุ่งข่มขู่ หรือดิสเครดิตเจ้าหน้าที่
- หากเป็นระเบิดแบบตั้งเวลา ก็จะกำหนดเวลาระเบิดในช่วงที่คาดว่าไม่มีคนอยู่ในรถ เช่น ตอนกลางคืน หรือช่วงเวลาที่เหยื่อเข้าที่ทำงานแล้วแน่นอน เป็นต้น
- หากใช้รีโมทคอนโทรล หรือจุดระเบิดด้วยวิธีอื่น คนร้ายก็จะสั่งจุดระเบิดเมื่อไม่มีคนอยู่ในรถ หรือเมื่อรถถูกนำไปจอดในจุดที่ตัวเองต้องการ เช่น ในโรงพัก เพื่อดิสเครดิตตำรวจ และใช้ระเบิดแบบไม่มีสะเก็ด มุ่งทำให้เกิดเพลิงไหม้ หรือทำให้รถเสียหายเท่านั้น
@@ พุ่งเป้าสีกากี? 3 ปีโดนระเบิดรถโจมตีที่ตั้ง 8 ครั้ง
สำหรับเหตุระเบิดจากการผูกใต้ท้องรถ 2 กรณีล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 4 ก.พ.68 ผลตรวจพิสูจน์เบื้องต้นชี้ชัดว่า คนร้ายใช้ระเบิดแบบ “ไม่มีสะเก็ด” และจุดระเบิดด้วยรีโมทคอนโทรล จึงน่าจะสะท้อนจุดประสงค์ของคนร้ายได้ว่า ไม่ต้องการเอาชีวิตใคร แต่ต้องการดิสเครดิตหน่วยงานรัฐ และฝ่ายความมั่นคง เนื่องจากเกิดระเบิดในสถานที่ราชการถึง 2 จุดในเวลาใกล้เคียงกัน (โรงพัก กับที่ว่าการอำเภอ)
ความพยายามก่อเหตุลักษณะนี้ เกิดมาแล้วหลายครั้งเช่นกัน และส่วนใหญ่ “หน่วยตำรวจ” จะตกเป็นเป้าหมาย
“ทีมข่าวอิศรา” ตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง เอาเฉพาะช่วงปี 64 ถึงปีปัจจุบัน คือ 68 เกิดเหตุระเบิดในที่ตั้งของตำรวจมาแล้วถึง 8 ครั้ง ในระยะเวลาเพียง 3 ปีเศษ
20 มิ.ย.65 ปล้นรถบรรทุกขยะ อบต.ลางา อ.มายอ จ.ปัตตานี นำไปทำคาร์บอมบ์โจมตีหน่วยบริการประชาชน ป้อมจุดตรวจของตำรวจ ที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 3 นาย
22 พ.ย.65 คาร์บอมบ์แฟลตตำรวจ สภ.เมืองนราธิวาส ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 31 ราย มีทั้งตำรวจและพลเรือน
6 ส.ค.66 เก็บกู้ระเบิดถังดับเพลิง บริเวณจุดจอดรถจักรยานยนต์ของกลาง ภายใน สภ.เมืองยะลา
30 มิ.ย.67 คาร์บอมบ์แฟลตตำรวจ สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ประชาชนเสียชีวิต 1 ราย
9 ส.ค.67 คาร์บอมบ์ข้างรั้วกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ไม่มีคนเจ็บ
23 ต.ค.67 คาร์บอมบ์กลางซอยระหว่างริมรั้ว สภ.ปะนาเระ กับที่ว่าการอำเภอปะนาเระ จ.ปัตตานี อส.บาดเจ็บ 2 นาย
13 ม.ค.68 มอเตอร์ไซค์บอมบ์ในซอยข้าง สภ.เมืองปัตตานี ทำให้ตำรวจ อส.และชาวบ้านบาดเจ็บ 10 ราย
4 ก.พ.68 ผูกระเบิดใต้ท้องรถกระบะของตำรวจ สภ.ศรีสาคร ระเบิดทำงานขณะจอดในโรงพัก
@@ ละเลย-หย่อนยาน? มาตรการติดกระจกส่องใต้ท้องรถ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนร้ายใช้วิธี “ผูกระเบิดใต้ท้องรถ” บ่อยครั้ัง และหลายครั้งก่อความสูญเสียขนาดใหญ่ มีผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บมากมาย โดยเป้าหมายคือ เจ้าหน้าที่รัฐ และมักเกิดระเบิดในหน่วยราชการ
เหตุนี้เองจึงมีแนวทางป้องกัน คือการตรวจรถที่เข้าออกสถานที่ราชการอย่างเข้มงวด โดยการใช้ “กระจกส่องใต้ท้องรถ” ทำให้ในปีหลังๆ เหตุระเบิดที่ผูกใต้ท้องรถไม่ค่อยเกิดในหน่วยราชการ แต่เกิดระหว่างทาง หรือบนถนนนอกหน่วยราชการแทน (เช่น ที่บ้านของเหยื่อ) และสถิติการเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ถูกแขวนใต้ท้องรถ ก็มีมากขึ้น
แต่ปัจจุบัน มาตรการตรวจใต้ท้องรถไม่เข้มงวดเหมือนเก่า แทบไม่มีหน่วยราชการติดตั้งกระจกส่องใต้ท้องรถอีกแล้ว รูปแบบการระเบิดวิธีนี้จึงเป็นทางเลือกที่คนร้ายนำมาใช้ แม้จะไม่ได้ก่อความสูญเสียร้ายแรงเหมือนคาร์บอมบ์ แต่ก็ได้พื้นที่สื่อ ส่งผลทางจิตวิทยามวลชนในวงกว้าง
ที่สำคัญ วิธีการแค่แอบผูกระเบิดติดฝากไปกับรถของเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องเสี่ยงไปปล้นรถมาทำคาร์บอมบ์ เพราะเมื่อปล้นรถแล้วก็ต้องนำไปติดตั้งระเบิด และนำไปก่อเหตุทันที เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีระบบเฝ้าตรวจและติดตามดีขึ้น
แต่การผูกระเบิดใต้ท้องรถ ไม่ต้องขโมยรถ จึงไม่ถูกสกัดจับ เพียงแต่ระเบิดที่ใช้จะเป็นขนาดเล็กกว่า และก่อความสูญเสียได้ไม่มากเท่าคาร์บอมบ์เท่านั้นเอง