
ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในความรับผิดชอบของรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ถูกวิจารณ์ว่า “ดูเบา” และให้ความสำคัญกับความร้ายแรงของปัญหาน้อยไปหรือไม่
ที่สำคัญดูเหมือนรัฐบาลจะไม่ได้มีนโยบายอะไรที่ัชัดเจนก่อนจะเข้ามารับหน้าที่
แม้จะมองในมุมรัฐบาลว่า ปัญหาไฟใต้ยังไม่มีอะไรใหม่ และไม่ต้องเร่งรีบอะไรมาก เพราะปัญหาก็ซ้ำๆ เดิมๆ เกิดเหตุรุนแรงสลับไปสลับมาในแต่ละห้วงเวลา และรัฐบาลก็สั่งทบทวนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาไปแล้วตั้งแต่ต้นปี
แต่ก็ต้องยอมรับว่า การรอไปเรื่อยๆ มีแต่ความสูญเสีย ทั้งชีวิต ทรัพย์สินของผู้คน ฝ่ายราชการ และเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ
ที่หนักไปกว่านั้นก็คือ มีผู้รู้หลายคนเตือนด้วยความเป็นห่วงว่า สถานการณ์จริงเลวร้ายกว่าที่รัฐบาลคิดเอาไว้มาก โดยเฉพาะเจตจำนงของขบวนการบีอาร์เอ็นที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากการ “ปลดปล่อยปัตตานี” เพื่อสถาปนารัฐเอกราชใหม่
หรือหากมีการเจรจากันด้วยดี อย่างน้อยก็ต้องทำให้พื้นที่นี้เป็น “เขตปกครองพิเศษ” ซึ่งรัฐบาลไทยส่วนกลางน่าจะเสียอำนาจไปเกือบทั้งหมดหรือส่วนใหญ่
และความร้ายแรงของปัญหา เพิ่มดีกรีขึ้น จากท่าทีและการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ซึ่งบางคนบอกว่า พวกเขาก้าวข้าม “บีอาร์เอ็น” ไปแล้วด้วยซ้ำ
@@ ย้อนเส้นทาง “รวมพลแต่งชุดมลายู” ณ หาดวาสุกรี

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ กิจกรรม “รวมพลเยาวชนแต่งชุดมลายู” (ที่เรียกเยาวชนเป็นภาษามลายูว่า เปอมูดอ และเปอมูดี) ซึ่งจัดต่อเนื่องกันมาในช่วงเทศกาลฮารีรายอ หลังสิ้นสุดเดือนรอมฎอน หรือเดือนแห่งการถือศีลอด ตั้งแต่ปี 65
ปีแรกที่จัดกิจกรรม มีการปราศรัยแนวยุยงปลุกปั่น และโบกธงบีอาร์เอ็น ซึ่งเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดน ทำให้ฝ่ายความมั่นคงดำเนินคดีแกนนำ 9 คน ปัจจุบันคดีก็ยังเดินหน้าอยู่ อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง ต่อศาล ท่ามกลางกระแสเรียกร้องจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนให้รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงเลือกแก้ไขปัญหาด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่การฟ้องร้อง
จากจุดยืนใช้กฎหมายจัดการปัญหา ทำให้ที่ผ่านมา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ถูกโจมตีว่าพยายามขัดขวางกิจกรรมนี้ ในบริบทของการขัดขวางไม่ให้คนในพื้นที่แสดงอัตลักษณ์มลายู แม้แต่การแต่งกาย
ทำให้ กอ.รมน.ภาค 4 สน. พยายามเข้าไปเจรจากับแกนนำผู้จัดกิจกรรม ให้ดำเนินการอยู่ในกรอบ และพลิกเกมด้วยการอนุญาตให้จัดต่อเนื่องมาทุกปี และปีนี้ก็เช่นกัน
@@ โดนสับขาหลอกหรือไม่.... กอ.รมน.ปลื้มคลิปแชร์ผลงาน
ก่อนวันจัดกิจกรรม ซึ่งนัดแนะรวมพลกันเมื่อวันที่ 3 เม.ย.68 ทาง กอ.รมน.ภาค 4 สน. ได้ทำคลิปสั้นๆ ออกมา เผยแพร่ทางแพลตฟอร์ม TikTok เนื้อหาเป็นแนวๆ โชว์ผลงานและความสำคัญว่า กิจกรรมปีนี้ไม่มีปัญหาความมั่นคงแน่นอน เพราะจัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Green Melayu Suci Patani" เพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมในหมู่เยาวชน และสร้างความร่วมมือในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ชื่องานปีนี้คือ "มลายู รายา” ประจำปี 2568 โดยผู้จัดรายเดิม คือ “สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ” หรือ CAP และใช้สถานที่เดิม คือ หาดวาสุกรี อ.สายบุรี จ.ปัตตานี
คลิปสั้นๆ ของ กอ.รมน.ภาค 4 สน. สรุปง่ายๆ แบบไม่อ้อมค้อมทำน้องว่า “คุมได้ ไม่มีอะไร” ขอให้ทุกฝ่ายได้มั่นใจ (ชมคลิปด้านล่าง)
@@ แชร์คลิปปราศรัย ชูประเด็นสิ่งแวดล้อมแน่หรือ?
แต่หลังจากกิจกรรมผ่านไปแล้ว มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอเป็นภาพบรรยากาศของงาน มีบางฝ่ายให้ความสนใจช่วงจังหวะที่แกนนำ คือ นายมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ ในฐานะหนึ่งในแกนนำผู้จัดกิจกรรม ได้ปราศรัยในช่วงท้าย
โดย นายมูฮำหมัดอาลาดี เป็นหนึ่งใน 9 นักกิจกรรมที่ถูกดำเนินคดีตั้งแต่ปี 65 เขาได้ขึ้นปราศรัยด้วยสีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจัง และน้ำเสียงดุเดือด
เจ้าของบัญชี TikTok ที่ชื่อ “ไทยอารยะ” ตัดบางช่วงบางตอนมานำเสนอ พร้อมทำซับไตเติ้ล เป็นคำแปลเอาไว้ พร้อมตั้งคำถามว่า นี่คือกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมจริงหรือไม่ คำว่า “ปาตานีสะอาด” มีนัยอื่นแอบแฝงหรือเปล่า (ชมคลิปด้านล่าง)
@@ ไร้เยาวชนโบกธงไทย
เมื่อไปค้นหาคลิปฉบับเต็มจากการไลฟ์สดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ก็จะพบบรรยากาศของกิจกรรมที่เต็มไปด้วยเยาวชนหญิงชายแต่งกายด้วยชุดอัตลักษณ์มลายู มีการแสดงและการละเล่นของวัฒนธรรมพื้นถิ่นมลายู
สแกนดูหน้าตาผู้ร่วมกิจกรรม แทบทุกคนดูคึกคัก มีอารมณ์ร่วม และโบกธงจำนวนมาก แต่ไม่มีเยาวชนคนใดโบกธงชาติไทยเลยแม้แต่คนเดียว
สำหรับ “ธงชาติไทย” ถูกประดับไว้ตามทางเข้าหาดวาสุกรี โดยมีการให้ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ว่า กอ.รมน.ภาค 4 สน.เป็นคนนำธงไปประดับเอาไว้ แต่ไม่ได้รับความสนใจจากเยาวชนที่ไปร่วมกิจกรรมเลยแม้แต่น้อย แถมมีการไปแสดงความเห็นแนวๆ หมิ่นธงชาติไทยด้วย (ดูภาพประกอบด้านล่าง) แม้ภายหลังจะมีการลบข้อความออกไปก็ตาม แต่ก็มีคนแคปเป็นภาพเอาไว้ได้

ผู้ใช้บัญชี TikTok ไทยอารยะ ตั้งคำถามว่า จากคำปราศรัย และการโบกธงลักษณะนี้ แปลความได้ว่า นี่คือกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือต้องการสื่อนัยทางการเมืองอย่างอื่นกันแน่ โดยเฉพาะคำว่า “ปาตานีสะอาด” ใช่การเก็บขยะจริงๆ หรือหมายถึงการทำดินแดนให้มีเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ของตน และต่อต้านฝ่ายที่ตนมองว่าต้องการมาทำลาย (ชมคลิป)
@@ พัฒนาที่ยั่งยืน ต้องไม่ “อยุติธรรม”
มีข้อมูลประชาสัมพันธ์จากคณะผู้จัดกิจกรรม ซึ่งก็ยืนยันได้กลายๆ ว่า “เวทีมลายู รายอ” ไม่ได้พูดเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น โดยนี่คือข้อความบางช่วงบางตอน
“ปีนี้ชู concept ‘Cinta Alam อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ’ คือ ‘Green Melayu, Suci Patani’ เป็นกิจกรรมรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม และพยายามสื่อสารถึงสังคมว่า ความยุติธรรมไม่อาจแยกออกจากการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ จะเห็นว่า งานมลายูรายอจึงไม่ได้เป็นเพียงเวทีของการแสดงออกเชิงวัฒนธรรม แต่ยังเป็นเวทีของการแสดงออกเชิงจิตสำนึกทางสังคมที่กลมกลืนระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติ ความหวังของเยาวชนต่อความห่วงแหนแผนดินปาตานี”

สำหรับกิจกรรมบนเวที ยังมีการอ่าน “คำปฏิญาณ” เพื่อปลุกพลังการเปลี่ยนสังคม ในช่วงเวลาที่สังคมชายแดนใต้ยังคงเผชิญกับความเปราะบาง ทั้งทางทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสิทธิเสรีภาพของผู้คน
พร้อมย้ำว่า เยาวชนจำนวนหนึ่งเลือกที่จะไม่ยืนอยู่เฉยๆ พวกเขาลุกขึ้นยืนยันจุดยืนผ่านคำสัญญาที่เรียกว่า “Ikrar Pemuda” หรือ “คำปฏิญาณตนของเยาวชน”
คำปฏิญาณของพวกเขา ไม่ใช่เพียงคำพูดหรือพิธีกรรม แต่พวกเขาถือว่าเป็นเครื่องมือทางจิตวิญญาณ และการเมืองของเยาวชนที่กล้าจะก้าวออกมาจากเงามืดของความกลัว ความเงียบ และการกดทับ เพื่อประกาศว่าพวกเขาคือผู้มีส่วนร่วมที่แท้จริงในสังคม เป็นเสียงที่ไม่ยอมถูกกลบ
ต่างจากในอดีตที่ “เยาวชนปาตานี” หรือในชายแดนใต้ ถูกมองว่าเป็นเพียงผู้ตาม ถูกกำหนดให้ “ไม่ยุ่งเรื่องการเมือง” หรือ “รอให้โต ค่อยว่ากัน” แต่ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยได้พาเยาวชนรุ่นใหม่เข้าสู่โลกที่ท้าทายมากขึ้น ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาเชิงทุนนิยมที่เบียดขับชุมชนดั้งเดิม ความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์ รวมถึงการถูกตั้งข้อสงสัยจากรัฐเพียงเพราะพวกเขาคิดต่าง

พวกเขาจึงถือว่า การแสดงออกอย่างเปิดเผยครั้งสำคัญของเยาวชนปาตานีที่ไม่ได้ยอมจำนนต่อบริบทที่ถูกบังคับให้เงียบ คือการเริ่มต้นของภารกิจชีวิต เยาวชนจำนวนมากนำคำปฏิญาณนั้นไปต่อยอดในชีวิตจริง บางคนกลับไปตั้งกลุ่มปลูกป่าในชุมชน บางคนทำสื่อท้องถิ่นที่พูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม บางคนกลายเป็นครูอาสา บางคนเป็นนักกิจกรรมที่ทำงานกับคนจน คนชายขอบ และชาวประมงพื้นบ้าน
พวกเขาได้เปล่งเสียงร่วมกันอย่างพร้อมเพรียงว่า “เราจะไม่เงียบ เราจะไม่ยอมจำนน เราจะอยู่เพื่อธรรมชาติ เพื่อชุมชน และเพื่อศักดิ์ศรีของเรา” นี่คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
@@ เชื้อชาติไหนรุกราน...เราพร้อมสู้ตาย!

นายมูฮำหมัดอาลีดี เด็งนิ ขึ้่นเวทีปราศรัยในตอนท้ายว่า “ปีนี้พวกเรามาร่วมกิจกรรมมากกว่าปีที่ผ่านมาเพื่อทำให้ Green Melayu,Suci Patani เป็นจริง เราจะมายืนยันว่าที่เรามากันวันนี้ เพราะเรารักแผนดินของเรา เรายอมรับสิ่งที่พระเจ้า (อัลลอฮ์) ให้เรามา และหลังจากนี้เราจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายแผนดินของเรา
Suci Patani อีกหลายเรื่องที่เขาทำกับเยาวชน เราจะต่อต้านสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้น เราจะต่อต้านยาเสพติด ที่มีจำนวนมากในพื้นที่ ที่มาทำลายเยาวชน เราต้อง Suci Patani จากยาเสพติด เราจะ Suci Patani ที่เป็นการพัฒนาที่ไม่เห็นประชาชน เรา Suci Patani ทั้งหมด เมื่อไรที่เราจะ Suci Patani เพื่อพวกเราเขาก็มาว่าเราอีกว่าเป็นกลุ่มชาตินิยม”
นายมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ กล่าวปิดท้ายว่า ฝ่ายความมั่นคงไม่ได้สนับสนุนกิจกรรมนี้จริง มุ่งแต่ทำไอโอ พร้อมประกาศว่า “เราจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายแผนดินของเรา แม้จะถุูกมองว่าเป็นกลุ่มชาตินิยม ขอยืนยันว่า เราไม่ทำลาย เราไม่สร้างความเกลียดชังเชื้อชาติอื่น แต่ถ้ามีเชื้อชาติไหนมารุกรานหรือทำลายเรา…เราขอสู้จนตาย”
@@ เยาวชนก้าวข้าม BRN จี้ปลดระเบิดในหัวใจ

หลังคลิปวีดีโอและการแสดงความเห็นเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกไป ปรากฏว่ามีบางฝ่ายที่เคยผ่านงานชายแดนใต้ออกมาแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์
หนึ่งในนั้นคือ พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร อดีตเลขาธิการ ศอ.บต. ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงในส่วนของกองทัพเรือที่ชายแดนใต้
“ภาพจากกิจกรรมที่ออกมา ชัดเจนว่าเยาวชนจำนวนมากในพื้นที่ ไม่เอารัฐไทยแล้ว พวกเขาไม่ได้สนใจบีอาร์เอ็น แต่พวกเขาต้องการสร้างสังคมแบบใหม่ของพวกเขาเอง”
“นี่คือสัญญาณอันตราย และเป็นระเบิดในหัวใจที่เราต้องเก็บกู้ การไปมุ่งเจรจากับบีอาร์เอ็น ซึ่งปัจจุบันเป็นคนแก่ไปหมดแล้ว อาจจะเป็นการแก้ไขปัญหาผิดทาง เพราะเยาวชนก้าวข้ามบีอาร์เอ็นไปหมดแล้ว ฉะนั้นต้องปลดระเบิดในหัวใจพวกเขา ก่อนจะสายเกินไป”
