“เหตุการณ์นี้มันรุนแรงมาก มันร้ายแรงกับครอบครัวกับพระพุทธศาสนามากเลย”
เป็นเสียงเปิดใจปนสะอื้นของ วรรณศิลป์ กลิ่นบุญแก้ว แม่บังเกิดเกล้าของ สามเณรวงศกร ชูมาปาน ที่มรณภาพจากเหตุคนร้ายซุ่มยิงที่หน้าวัดกุหร่า อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เมื่อวันอังคารที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา
วรรณศิลป์ใหัสัมภาษณ์นักข่าวเป็นครั้งแรก หลังจากเผชิญกับเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิต
“มีพี่เขาโทรมาบอกว่าลูกเณรโดนยิง ไม่อยากให้เกิดกับครอบครัวใครแล้ว” เธอเล่าถึงวินาทีที่รับทราบข่าวร้าย
เหตุการณ์นี้เป็นเรื่่องใหญ่มาก และสะเทือนใจคนพุทธอย่างลึกซึ้ง เพราะการบวชเรียน แม้จะเป็นสามเณร แต่ในความเชื่อของคนเป็นพ่อเป็นแม่ คือ จะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ ถือว่าเป็นบุญใหญ่ที่ลูกทำและมอบแด่ผู้ให้กำเนิด
แต่เรื่องร้ายกลับมาเกิดในเส้นทางบุญ หนำซ้ำคนที่ขับรถพาพระและเณรออกบิณฑบาต ยังเป็นบิดาแท้ๆ ของเณร และเป็นการบิณฑบาตครั้งแรก ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนที่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
เพราะนัยของการบิณฑบาต คือ การโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นกิจวัตรของสงฆ์ที่ทำให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญ
การบิณฑบาตวันแรกจึงมีความสำคัญยิ่งต่อพระและสามเณรบวชใหม่ รวมถึงพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดที่มักมารอใส่บาตร และได้ชื่นชมผ้าเหลืองที่ลูกห่มในสมณเพศ
วรรณศิลป์ บอกว่า ตอนนี้ เวลานี้ ความทุกข์ เศร้า เสียใจมันอัดแน่นอยู่ในอก จนจุกและเจ็บไปหมดทั้งร่างกายและจิตใจ
“ทุกคนต้องอยู่ด้วยความเมตตา ถ้าทุกคนมีความเมตตาต่อกัน คิดว่าจะกลับมาสงบสุขได้ มีเมตตา มีคุณธรรมมากขึ้น ไม่อยากให้เกิดกับครอบครัวใครแล้ว เพราะความสูญเสียมันไม่สามารถออกมาเป็นคำพูดได้เลย มันเต็มมันจุกไปหมดเลย”
เธอบอกว่าสถานการณ์ความไม่สงบที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 20 ปี ทำให้ชาวบ้านตาดำๆ ต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ไม่รู้จะตกเป้นเป้าหมายวันใด
“มันยึดเยื้อมานานมากแล้ว หลายคนที่บริสุทธิ์ เขาไม่รู้เรื่องเลย ในวันที่ก้าวออกจากบ้าน ไม่รู้เรื่องเลยว่าวันนี้จะเจอเหตุการณ์ไหน ต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวง ต้องอยู่ด้วยความหวาดกลัว”
เธอเล่าถึงลูกชายวัย 16 ปี ซึ่งแม้จะเกิดมาในช่วงที่ไฟใต้ปะทุขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าเหตุร้ายจะเกิดกับคนในครอบครัว และยังไม่อยากเชื่อว่าลูกต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
“เขามีความตั้งใจ ทุ่มเทกับกีฬา น้องเคยป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่ได้รับการรักษาจนกลับมาแข็งแรง และเขาดีใจมากที่ได้กลับมาเล่นกีฬา”
“น้องเคยบอกแม่ว่า แม่…หนูแข็งแรงแล้วนะ หนูอยากเป็นครูพละ อยากมีเงินเดือนเยอะๆ จะได้ส่งน้องเรียนหนังสือ เขาบอกว่าพ่อเงินเดือนน้อย ก็จะตั้งใจเรียนมาส่งน้องเรียน ซึ่งหลังจากนี้ก็จะตั้งใจเลี้ยงลูกอีก 2 คนให้เป็นเด็กดีเหมือนพี่ชาย”
วรรณศิลป์ ย้ำหลายครั้งทั้งๆ ที่ยังร่ำไห้ ว่าขออย่าให้เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้กับครอบครัวใครอีกเลย
“ตอนนี้เริ่มดีขึ้นบ้าง แต่ก็ขอขอบคุณทุกคน ทุกหน่วยงาน ทุกกำลังใจ ขอขอบคุณมากๆ เลย ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ไม่อยากให้มีเหตุการณ์ความรุนแรงแบบนี้อีกแล้ว”
สุดท้าย เธอขอบารมีในหลวงรัชกาลที่ 10 ทำให้แผ่นดินนี้สงบสุขเสียที...
“ขอบคุณพระมหากรุณาธิคุณ ขอบารมีในหลวงทำแผ่นดินตรงนี้ให้เกิดความสงบ อยู่ด้วยความร่มเย็น อยู่ด้วยความรักความเมตา มีความห่วงใยทุกศาสนา”
พิธีรดน้ำศพ สามเณรวงศกร จัดขึ้นที่วัดทำเนียบธรรมาราม ต.สะบ้าย้อย อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา โดยมี พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธาน พร้อมด้วย พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสงขลา และมีหัวหน้าส่วนราชการ รวมถึงญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทของครอบครัวสามเณรวงศกร เข้าร่วมไว้อาลัยเป็นจำนวนมาก
ก่อนเริ่มพิธี ได้มีการอัญเชิญผ้าไตรและช่อดอกไม้จันทน์จาก เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งได้ทรงเมตตาโปรดประทานมาใช้ในพิธีฌาปนกิจ
โอกาสนี้ พล.ท.ไพศาล ได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของสามเณร และได้ประณามการกระทำอันป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรมครั้งนี้ว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักศาสนาและความเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง