
การลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2 วันเสาร์-อาทิตย์ของ รองนายกฯภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งนั่งควบ รมว.กลาโหมด้วย ทำให้พอมองเห็นทิศทางของยุทธศาสตร์ดับไฟใต้สไตล์เพื่อไทย
และในความรับผิดชอบของรองนายกฯภูมิธรรม เพราะเชื่อว่าจะได้สานต่อภารกิจนี้จนสิ้นอายุรัฐบาล เนื่องจากยังไม่มีสัญญาณปรับ ครม. เปลี่ยนกระทรวงดูแลในส่วนของ “บิ๊กอ้วน”
การลงพื้นที่หนนี้จึงเป็นภารกิจของ “รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง” เต็มตัว และยกคณะไปร่วมรับฟังความเห็นจากหน่วยปฏิบัติ โดยคณะที่เดินทางไปด้วยกัน มีทั้งฝ่ายบุ๋น และฝ่ายบู๊ รับผิดชอบทั้งงานพัฒนาและความมั่นคง ประกอบด้วย
- พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งค่อนข้างเซอร์ไพรส์ที่ได้ร่วมคณะ
- นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อดีตหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฯ ในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน
- พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
- พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าที่หัวหน้าคณะพูดคุยดับไฟใต้คนใหม่

ภารกิจของรองฯภูมิธรรม มีทั้งพบปะพี่น้องประชาชน ภาคประชาสังคม และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติตัวจริง
- ไปวัดปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เพื่อร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี และพบปะพูดคุยให้กำลังประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะพี่น้องไทยพุทธ
- ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำ ฐานปฎิบัติการ กองร้อยทหารพรานที่ 4803 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส (ใกล้ค่ายทหารที่เคยถูกปล้นปืน เมื่อ 4 ม.ค.47)
- พบปะพูดคุยกับ นายตัรมีซี มามะเร อิหม่ามประจำมัสยิดราชพัฒนา และประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นพี่น้องมุสลิม
- เยี่ยมให้กำลังใจทหารใหม่ ที่กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 151 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

- ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ ที่กองพลทหารราบที่ 15 ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี มีทั้ง ฝ่ายปกครอง ฝ่ายตำรวจ และฝ่ายทหาร ประกอบด้วย
OO ผู้ว่าราชการจังหวัด 3 จังหวัด
OO นายอำเภอ 37 อำเภอ คือ นายอำเภอในพื้นที่ จ.ปัตตานี จำนวน 12 อำเภอ นายอำเภอในพื้นที่ จ.ยะลา จำนวน 8 อำเภอ นายอำเภอในพื้นที่ จ.นราธิวาส จำนวน 13 อำเภอ และนายอำเภอในพื้นที่ จ.สงขลา จำนวน 4 อำเภอ คือ อ.สะบ้าย้อย อ.เทพา อ.จะนะ และ อ.นาทวี
OO สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จำนวน 3 คน

- พบปะกับกลุ่มใต้ร่มพุทธธรรมจังหวัดยะลาในฐานะตัวแทนภาคประชาสังคม เพื่อส่งหนังสือเรียกร้องและแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ โดยเฉพาะกับพี่น้องไทยพุทธ และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขอย่างยั่งยืน
- พบปะภาคประชาสังคม 12 กลุ่ม จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
- ประชุมหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงจาก ทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ประกอบด้วย พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 พล.ต.ต.สันทัศน์ เชื้อพุฒตาล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ที่กองพลทหารราบที่ 15 ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย

OO จัดขึ้นในลักษณะเปิดกว้างและไม่เป็นทางการ
OO นั่งล้อมวงพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างใกล้ชิด
OO เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่จากทุกภาคส่วนได้ร่วมสะท้อนปัญหาและข้อเสนอแนะจากประสบการณ์การทำงานในพื้นที่จริง
@@ เปิดโต๊ะพูดคุยเมื่อเจอตัวจริง - นายกฯอิ๊งค์ถกนำร่อง
จากภารกิจทั้งหมด กับการให้สัมภาษณ์ 2 ครั้งที่เป็นไฮไลต์สำคัญ ทำให้ค้นพบประเด็นที่น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนงานดับไฟใต้ของรัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของรองนายกฯภูมิธรรม
1.โต๊ะพูดคุยสันติภาพ หรือสันติสุข จะเกิดขึ้นแน่นอน แต่ฝ่ายรัฐบาลไทยจะยังไม่ตั้ง จนกว่าจะได้รับความมั่นใจว่า จะได้พูดคุยกับ “ตัวจริง”
“บิ๊กอ้วน” ให้สัมภาษณ์ส่งสัญญาณในประเด็นนี้เอาไว้ที่วัดปิเหล็ง ช่วงลงพื้นที่วันแรก 24 พ.ค.68 โดยเป็นการตอบคำถามเรื่องการใช้โต๊ะพูดคุยสันติภาพในการแก้ไขปัญหาไฟใต้
“ ขณะนี้ยังไม่ได้ปฏิเสธกลไกใดๆ แต่คงต้องมาดูว่าจะต้องปรับปรุงในสิ่งที่ทำหรือไม่ หรือหากไม่มีบทบาทหรือความสำคัญแล้วก็ต้องทิ้งไป อะไรบ้างส่วนก็ต้องทิ้งไป แต่ก็ยืดหยุ่นอยู่ ยังไม่ได้คิดว่าจะต้องเลิกอะไร หรือไม่เลิกอะไร…ผมก็จะตั้งคณะเจรจาอยู่ แต่ผมไม่ตั้งตอนนี้ เพราะผมยังไม่รู้เลยว่าคนจะเจรจากับผมคือใคร เพราะเวลาจะขอให้ยุติการทำอะไรที่รุนแรงเพื่อจะได้คุยกัน ก็ยังไม่เห็นมีใครสามารถทำแบบนี้ได้ แล้วถ้าผมเจรจาไปแล้วไม่มีข้อสรุป ไม่มีผลในทางปฏิบัติ ก็ไม่รู้จะเจรจาทำไม”
2.ต้องเพิ่มบทบาทของมาเลเซียให้ร่วมมือในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาไฟใต้อย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรมมากกว่าที่ผ่านมา

“บิ๊กอ้วน” ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ที่ บน.6 ดอนเมือง หลังเดินทางกลับจากปฏิบัติภารกิจเปิดวงรับฟังเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ ในวันอาทิตย์ที่ 25 พ.ค.68
“ผมจะนำผลสรุปการพูดคุยครั้งนี้ไปพูดคุยที่มาเลเซีย เพื่อพูดคุยกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตำรวจสันติบาลมาเลเซียที่อยู่ประจำรัฐต่างๆ ที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย เพราะมาเลเซียมีส่วนในการช่วยแก้ปัญหา”
“และค่ำวันนี้ (25 พ.ค.) นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46 ที่มาเลเซีย ผมก็จะรายงานผลการลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อให้นายกฯ รับทราบข้อมูลด้วย เพื่อนำไปเปิดประเด็น ก่อนที่ผมจะเดินทางไป”
“คิดว่าเห็นทางแก้ปัญหา แม้หนทางมันยากลำบาก เพราะเรื่องมันซับซ้อน แต่เชื่อว่าเรามีความหวังในการแก้ปัญหา”
@@ เปิดเบื้องหลังควานหา “ตัวจริง BRN”
นี่คือท่าทีที่น่าสนใจ และส่งสัญญาณถึง “ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้” ที่หลายฝ่ายเรียกหาจากรัฐบาลเพื่อไทย
สองเรื่องที่ “บิ๊กอ้วน” ให้สัมภาษณ์เชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะการเปิดโต๊ะพูดคุย ทำให้สังคมไทยทราบสาเหตุที่รัฐบาลไม่เร่งเปิดโต๊ะ หรือเริ่มกระบวนการเจรจาสันติภาพ เพราะยังไม่เจอ “ตัวจริง” ที่จะคุยด้วย และคนที่จะชี้ว่าใครคือตัวจริง และตัวตัวจริงมาคุยบนโต๊ะเจรจา คือ มาเลเซีย ในฐานะรัฐบาล และสันติบาลมาเลย์ ซึ่งมีข้อมูลทุกอย่าง
แต่ที่่ผ่านมาไม่เคยพา “ตัวจริง” มาคุยกับไทย แม้อดีตนายกฯทักษิณ จะไปขอคุยด้วยตัวเอง ช่วงหลังจากที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ซึ่งก็คือ นายกฯอันวาร์ ของมาเลยเซียก็ตาม
อดีตนายกฯทักษิณ ได้รับอนุญาตจากศาลอาญา ให้เดินทางไปมาเลเซีย เมื่อวันที่ 2-3 ก.พ.68 และได้ขอกับทางมาเลเซีย เพื่อคุยกับ “ตัวจริง” ของ BRN
ข่าวที่หลุดออกมาก็คือ ปรากฏว่าแกนนำที่ได้พบมี 2 คน ได้แก่ นายวาเหะ หะยีอาแซ และ อุสตาซ ฮาซัน ตอยิบ โดยคนหลังเคยเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฝ่าย BRN ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นโต๊ะพูดคุยที่เปิดขึ้นเมื่อปี 2556 (ฝ่ายไทยนำโดย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สมช.)
ผู้รู้ยืนยันว่า คนที่อดีตนายกฯได้พบ ยังไม่ใช่ตัวจริง โดยเฉพาะอุสตาซ ฮาซัน ตอยิบ เมื่อเปิดตัวเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยแล้ว และคุยไม่สำเร็จ ภาษาความมั่นคงเรียก “เบิร์น” หมายถึงถูกลดบทบาท เหมือนถูกเผาตัวเองจนแทบจะสูญสลายไปจากโครงสร้างของขบวนการ BRN ซึ่งเป็นองค์กรลับ
ต่อมาห้วงเดือน เม.ย. มีนายทหารระดับสูงซึ่งเชี่ยวชาญงานภาคใต้ พร้อมด้วยอดีตคนในกองทัพ เข้าพื้นที่รัฐทางตอนเหนือของมาเลเซีย เพราะมีการนัดหมาย “แกนนำตัวจริงของ BRN” มาพบปะพูดคุย
แต่แล้วก็ฟาวล์ เพราะฝ่ายโน้น “ไม่มาตามนัด”
นี่คือสาเหตุที่โต๊ะพูดคุยฯยังไม่เปิด ท่ามกลางการก่อเหตุรุนแรงทุกรูปแบบของฝ่าย BRN เพื่อสร้างแรงกดดันและเพิ่มอำนาจต่อรอง
สถานการณ์แบบนี้ ยิ่งเปิดโต๊ะเร็ว ไทยยิ่งเสียเปรียบ จึงต้องยอมกลืนเลือด ดึงเวลาเอาไว้ ส่วนว่าที่หัวหน้าคณะพูดคุยฯ ยังเป็นคนเดิม คือ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก หรือ “บิ๊กแป๊ะ” ซึ่ง “บิ๊กอ้วน” ให้ความไว้วางใจ และมอบบทบาทให้ต่อเนื่อง
การจะได้ “ตัวจริง” มาพูดคุย ต้องได้รับความร่วมมืออย่างเต็มกำลังจากมาเลเซีย โดยเฉพาะสันติบาล และอาจรวมถึง “พรรคปาส” ซึ่งมีอิทธิพลสูงมากใน 4 รัฐทางตอนเหนือของมาเลย์ ติดกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ฉบับเพื่อไทย กำลังเดินหน้าแล้ว?!?
