
การปรับ ครม.เที่ยวล่าสุด “อุ๊งอิ๊ง 2” ไม่มีการตั้งตำแหน่ง รมว.กลาโหม ทำให้ชื่อของ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (อดีต ผบ.ทสส.) ซึ่งมีข่าวกระเซ็นกระสายว่าเป็น “แคนดิเดตตัวจริง” ก่อนหน้านี้ ถูกพูดถึงอย่างจริงจัง
พล.อ.เฉลิมพล หรือ “บิ๊กแก้ว” เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 21 นักเรียนนายร้อย จปร.รุ่น 32 รุ่นเดียวกับ พล.อ.สุนัย ประภูชะเนย์ อดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ. และอดีตผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (อดีต ผบ.นสศ.) ซึ่งมีชื่อเป็นแคนดิเดต รมว.กลาโหม ก่อนหน้า “บิ๊กแก้ว” แต่สุดท้ายข่าวก็เงียบหายไป กลายเป็นชื่อ “บิ๊กแก้ว” ปรากฏขึ้นมาแทน
ประวัติของ พล.อ.เฉลิมพล เป็นทหารม้า ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของชีวิตราชการ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือ ผบ.ทสส. และนั่งเก้าอี้นี้ยาว 3 ปี
ในรัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดให้วุฒิสภาชุดแรก ซึ่งมาจากการแต่งตั้ง มีผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ รวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวม 6 คน เป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.โดยตำแหน่ง และมีเงื่อนไขว่า เมื่อพ้นจาก สว.แล้ว ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 2 ปี
พล.อ.เฉลิมพล ก็เคยเป็น สว.โดยตำแหน่ง ช่วงที่นั่งเป็น ผบ.ทสส. และเพิ่งเกษียณอายุราชการเมื่อปี 2566 จึงยังพ้นจากตำแหน่ง สว.ไม่ครบ 2 ปี ต้องรออีก 3 เดือน คือสิ้นเดือนกันยายน จึงไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในขณะนี้ได้
ฉะนั้นการปรับ ครม.หนล่าสุด ที่มีการเว้นว่างตำแหน่ง รมว.กลาโหม เอาไว้ จึงมีการคาดหมายกันว่า เว้นไว้เพื่อรอ พล.อ.เฉลิมพล เข้ารับตำแหน่งได้ หลังจากครบกรอบเวลา 2 ปีที่พ้นจาก สว. ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
สำหรับสาเหตุที่ชื่อของ พล.อ.เฉลิมพล มาแรงในตำแหน่ง รมว.กลาโหม ของรัฐบาลเพื่อไทย เพราะมีข่าวว่าเป็น “น้องรักบิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. และอดีตรองเลขาธิการพระราชวัง ผู้เคยปรากฏภาพร่วมเฟรมกับ “บิ๊กแก้ว” ใน “ดัลลับลังกาวี” เมื่อครั้งที่อ้างว่าเดินทางไปร่วมชม “นิทรรศการการบินและการเดินเรือ” หรือ LIMA 2023 ระหว่างวันที่ 23-27 พฤษภาคม 2566 ที่เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีการโชว์อาวุธ ยุทโธปกรณ์ และแอร์โชว์
การเดินทางไปครั้งนั้น เป็นเรื่องปิดลับ แต่ภายหลังถูกนำภาพถ่ายมาเปิดเผยทางสื่อสังคมออนไลน์ และมีข่าวเชื่อมโยงว่า มีการนัดพบกับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร โดยมีนักธุรกิจใหญ่ระดับแนวหน้าของประเทศเป็น “คนกลาง” (แต่อาจไม่ใช่ “กลาง” แค่ “คนกลาง” เท่านั้น) ประสานทั้งสองฝ่าย เพื่อเจรจาเรื่องการเดินทางกลับประเทศไทย และตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ระหว่างพรรคเพื่อไทย ก้บพรรคอนุรักษ์นิยม เพื่อสกัด “พรรคสีส้ม” ไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากพรรคก้าวไกลในขณะนั้น ชนะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566
แต่ก็มีข่าวชี้แจงจากคนใกล้ชิด “บิ๊กแดง” ว่า การเดินทางไปลังกาวี เกิดขึ้นก่อนวันที่ 14 พฤษภาคม จึงไม่ได้เกี่ยวกับ LIMA 2023 และไม่ข้องแวะกับอดีตนายกฯทักษิณ แต่เป็นการไปพบปะแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่มีการนัดหมายไว้ ถือเป็น “โต๊ะพูดคุย Track 2” ช่วยเพิ่มช่องทางสื่อสารให้กับ “คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ” ในยุคนั้น
ทว่ากระแสสังคมไม่ปักใจเชื่อคำชี้แจงนี้ เพราะยังให้น้ำหนักกันว่าไปหารือ “ดีลลับ” เรื่องที่ลือกันกระฉ่อนมากกว่า ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนั้นไม่มีใครยอมรับว่าเป็นความจริง รวมถึงบุคคลที่อยู่ในภาพทั้งหมด และ พล.อ.เฉลิมพล เองด้วย แต่ในแวดวงการเมืองวิเคราะห์วิจารณ์กันกระฉ่อน
อ่านประกอบ : “ดีลลับลังกาวี” ย้อนอดีต 18 ปี...จากไฟใต้ ถึงไฟการเมือง
อ่านประกอบ : ล้วง “ดีลลับลังกาวี” ป่วนใต้กลุ่มไหนรอคุย “บิ๊กแดง”?!?
สำหรับประวัติของ พล.อ.เฉลิมพล เคยเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก และเสนาธิการทหาร จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นนายทหารนักวางแผน เก่งทั้ง “บุ๋น” และ “บู๊” ทั้งยังถูกระบุว่าเคยร่วมเขียนแผน “จักรพงษ์ภูวนาถ“ ที่ใช้ในการจัดการปัญหาตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2554 ด้วย
จากเหตุผลนี้จึงอาจทำให้ฝ่ายการเมืองให้น้ำหนักในการทาบทามเข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม เพื่อแก้ไขปัญหาไทย-กัมพูชารอบใหม่ในปัจจุบัน
@@ 4 คำถามของความ “ลักลั่น” เมื่อไร้ผู้นำที่กลาโหม
อย่างไรก็ดี สมมติฐานที่เชื่อกันว่า การจัด ครม.ใหม่โดยเว้นว่างตำแหน่ง รมว.กลาโหม ไว้ให้ “บิ๊กแก้ว” นั้น ยังคงมีคำถามตามมา
1.“บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม จะรู้สึกอย่างไร เพราะจะว่าไปแล้วก็สามารถผลักดัน “บิ๊กเล็ก” ขึ้นดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ได้ รวมถึงให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเพื่อรอเปลี่ยนออก เปิดทางให้ “บิ๊กแก้ว” ในอีก 3 เดือนข้างหน้าก็ยังทำได้ และจะไม่ทำให้เกิดสุญญากาศในตำแหน่งนี้ด้วย เหตุใดจึงไม่ทำ
2.แม้จะมีข่าว “บิ๊กแก้ว” เป็นน้องรักของ “บิ๊กแดง” แต่จริงๆ แล้ว “บิ๊กเล็ก” คือเพื่อนร่วมรุ่นของ “บิ๊กแดง” จึงน่าจะได้รับความไว้วางใจไม่น้อยไปกว่ากัน (หรือเปล่า?)
3.ความสำคัญของ “ดีลลับลังกาวี” หากมีอยู่จริง เหตุใดจึงเพิ่งมีความเคลื่อนไหวในการตอบแทนตำแหน่งกันในเวลานี้ และในทางกลับกัน ณ ขณะนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาตามเงื่อนไขพ้นจากตำแหน่ง สว. 2 ปีของ “บิ๊กแก้ว” อยู่ดี
4.หรือการจัด ครม.แบบนี้ เนื่องจากติดเงื่อนไขโควตา “รัฐมนตรีว่าการ” ของรวมไทยสร้างชาติ เนื่องจาก
- รวมไทยสร้างชาติมี สส. 36 คน
- เดิมมี รมว. 2 ตำแหน่ง รมช. 2 ตำแหน่ง (รวมบิ๊กเล็ก)
- ล่าสุดมีการเติม “ปลัดตุ๋ม” จตุพร บุรุษพัฒน์ เป็น รมว.พาณิชย์ ซึ่งว่ากันว่าเป็นโควตาเดียวกันของผู้สนับสนุน หรือ สปอนเซอร์หลักของพรรครวมไทยสร้างชาติ
- ฉะนั้นโควตา “รัฐมนตรีว่าการ” จึง “ล้นเกิน” แล้ว หากตั้ง “บิ๊กเล็ก” อีก จะไม่สามารถตอบพรรคร่วมฯพรรคอื่นได้
@@ เพื่อไทยสอบตกวิชา “ความมั่นคงศึกษา”

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ร่วมตั้งข้อสังเกตด้านความมั่นคง จากผลของการปรับ ครม.แบบพิสดารหนนี้
- ในขณะที่ประเทศมีปัญหาความมั่นคงด้านกัมพูชาอย่างมากนั้น ในบัญชีรายชื่อ ครม. กลับไม่มีการตั้งตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ซึ่งต้องถือว่าการปล่อยให้ตำแหน่งนี้ว่าง เป็นประเด็นที่น่าสนใจทั้งในทางการเมืองและการทหาร ซึ่งอาจถูกตีความได้ว่า เป็นการเกลี่ยตำแหน่งในระดับรัฐมนตรีไปใช้สำหรับกระทรวงอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองเฉพาะหน้าของรัฐบาลผสม
- ในกรณีของกระทรวงกลาโหมนั้น น่าสนใจที่เห็นถึงการสลับไปมาของรายชื่ออดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ 2 นาย ที่สลับเปลี่ยนไปมาระหว่างนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 20 และ 21 แต่ก็จบลงในแบบ “หักมุม” ด้วยการไม่ตั้งรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง แต่กลับมีรัฐมนตรีช่วยคนเดิมดำรงตำแหน่งต่อไป (รุ่น 20) และคาดได้ว่า จะให้รัฐมนตรีช่วยท่านนี้ทำการแทนรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ซึ่งต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องแปลกในทางการเมือง
- สภาวะเช่นนี้ น่าจะเป็นผลพวงจากปัญหา “การเมืองสนามไชย” ใน “ครม. แพทองธาร 1” ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีท่าทีชื่นชอบ และต้องการผลักดันให้ รัฐมนตรีช่วยว่าการขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการใน ครม. ใหม่ให้ได้ แต่ก็ดูจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงการทำงานและระดับความสามารถ แรงสนับสนุนดังกล่าวจึงทำได้เพียงช่วยให้รัฐมนตรีช่วยท่านนั้น อยู่ที่เดิม
- น่าสนใจว่า บุคคลที่รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น มาจากโควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เพราะกระทรวงนี้เป็นโควตาของพรรคเพื่อไทย แต่รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงกลับมีท่าที “ผลักดัน-สนับสนุน” อย่างเต็มที่เพื่อให้รัฐมนตรีช่วยท่านนั้น บรรลุความฝันในการเป็นรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง จนดูเสมือนกับการยกเก้าอี้นี้ให้พรรคการเมืองอื่น ทั้งที่เป็นกระทรวงสำคัญของความเป็นรัฐบาล เว้นแต่มีเหตุผลทางการเมืองของ “ผู้มีอำนาจสูงสุด” ของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งการผลักดันของรัฐมนตรีที่เป็นปัจจัยสำคัญ
- การไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำให้เกิดข่าวลือต่างต่างนานา อันอาจตีความได้ว่าเป็นภาพสะท้อนถึงความไม่ความสนใจงานด้านความมั่นคงของประเทศของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ดังเช่นที่ปรากฏให้เห็นในช่วงที่ผ่านมา จนกลายเป็นข้อวิจารณ์ในทางการเมืองเสมอว่า พรรคเพื่อไทยสอบตกวิชา “ความมั่นคงศึกษา”
- แต่ในอีกด้านสำหรับปัญหาในเชิงตัวบุคคล การไม่ปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ก็อาจทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในหลายส่วน มีความเห็นตรงกันว่า การให้อยู่ในตำแหน่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขยับขึ้นไปมากกว่านี้
- ในอีกด้านก็ปรากฏข้อมูลว่า ที่ไม่มีการตั้งรัฐมนตรีว่าการกลาโหมนั้น ก็หวังว่าจะรอให้อดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งพ้นจากข้อห้ามในเรื่องของการดำรงตำแหน่ง สว. มาก่อน และมาดำรงตำแหน่งนี้ในช่วงข้างหน้า ข้อมูลชุดนี้ดูจะน่าตื่นเต้น แต่ดูจะไร้ความเป็นไปได้อย่างมาก เหมือนเป็นการ “ปั่นกระแส” ในโลกออนไลน์เสียมากกว่า เพราะทิศทางการเมืองในอีก 3 เดือนข้างหน้านั้น ยังไม่ใช่สิ่งที่จะคาดเดาได้ง่ายๆ
- แต่การหารายชื่อของรัฐมนตรีกลาโหมใน ครม. ครั้งนี้ ก็กลายเป็น “ความสนุกสนาน” ทางการเมืองอีกแบบ เพราะปรากฏให้เห็นถึง “ปฏิบัติการข่าวสาร” ที่ดึงเอาส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทหารเข้ามาเพื่อทำให้การคาดเดาที่เกิดขึ้นของสื่อและบรรดานักวิเคราะห์ทั้งหลาย มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ชัดว่า ข้อมูลเหล่านี้มีความจริงเพียงใด
- น่ามองในอีกทางว่า ปกติแล้วในทางการเมือง การไม่แต่งตั้งรัฐมนตรีกลาโหมเป็นประเด็นสำคัญ เพราะไม่ชัดเจนว่า อะไรคือเหตุผลหลักของผู้มีอำนาจของพรรคเพื่อไทยในเรื่องนี้ ถ้าไม่ตั้งเพียงเพราะต้องรอใครบางคนอย่างที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อ ก็ไม่น่าจะเป็นคำอธิบายที่ดี เพราะในสภาวะที่ประเทศมีปัญหาความมั่นคงเช่นปัจจุบัน ตำแหน่งนี้มีนัยสำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้
หรือในอดีตของการเมืองไทย ถ้ามีปัญหาในกระทรวงที่มีความสำคัญเช่นนี้ ก็อาจใช้วิธีให้นายกฯ ลงมารักษาการ แต่การกระทำเช่นนั้น (คือเป็น “ยิ่งลักษณ์โมเดล”) ก็ไม่น่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนายกฯ คนปัจจุบัน เว้นแต่ที่ไม่ตั้งนั้น คิดเหตุผลแบบบ้านๆ คือ “หาคนถูกใจไม่ได้ … ที่มีอยู่ก็ไม่ใช่ … ให้เลือกใหม่ก็ไม่เอา” เลยจบลงแบบ “คาราคาซัง” เช่นนี้ไปก่อน
@@ ครม.ขายผ้าเอาหน้ารอด
ในอีกด้าน ความเป็นจริงของธรรมชาติการเมืองไทยที่มีความเป็นรัฐบาลผสมเป็นสภาวะพื้นฐานนั้น ทำให้การปรับ ครม. มีความยุ่งยากในตัวเอง เพราะธรรมชาติของรัฐบาลผสมไทยคือ การต่อรองตำแหน่ง และความอยู่รอดของรัฐบาลผสมคือ การประนีประนอมในเรื่องของตำแหน่ง และการต่อรองในเชิงตัวบุคคล ดังเช่นที่เราเห็นการปรากฏตัวของนักการเมืองหน้าใหม่ ที่ไม่ได้มีชื่อหลุดออกมาในช่วงทำโผแต่อย่างใด
แต่กระบวนการปรับ ครม. เช่นนี้ ก็เป็นเหมือนกับการเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในสังคม ที่มีความคาดหวังเป็นพื้นฐานว่า รัฐบาลจะเป็นปัจจัยในการแก้ไขปัญหาชีวิตของพวกเขา แต่ความหวังเช่นนี้ในความรู้สึกของพวกเขา กำลังถูกทำลายลงจากสภาวะของการจัด ครม. ที่เกิดขึ้นในความเป็นรัฐบาลผสม และจะส่งผลอย่างมากกับแกนนำรัฐบาลคือ พรรคเพื่อไทยเอง ซึ่งน่าคิดว่า พรรคเพื่อไทยจัดวางอนาคตของตนเองอย่างไร หรือในความเป็นรัฐบาลผสมนั้น ทำให้มีคำตอบประการเดียว คือ “ขอให้อยู่รอดในวันนี้ไปก่อน”
ขณะที่ปีกพรรคฝ่ายค้าน ก็เหมือนกับการ “เก็บแต้ม-ตีกิน” เพื่อรอให้ถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า และเปิด “ยุทธการขย่มรัฐบาล” ไปเรื่อยๆ จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ฉะนั้น ทางออกของพรรคเพื่อไทยและอนาคตของรัฐบาลผสมคือ ในระยะเวลา 6 เดือนสุดท้ายของปี 2568 จึงมีคำถามสำคัญ ได้แก่
- รัฐบาลจะมีอะไรเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรม?
- จะมีอะไรที่เป็นผลงานที่โดนใจประชาชน?
- จะมีอะไรเป็นผลงานที่สร้างศรัทธากับประชาชน?
