
“ทีมข่าวอิศรา” แกะรอยกรณีพบเงินสดๆ 12 ล้านบาท ในกล่องข้างกองขยะในคอนโดมีเนียมย่านเมืองทองธานี เพราะเกี่ยวข้องกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างปฏิเสธไม่ได้ และยังน่าสงสัยว่าอาจเป็นเม็ดเงินที่เกี่ยวโยงกับโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ หรือ เมกะโปรเจค ที่มีความขัดแย้งในพื้นที่
โดยเส้นทางเงินอาจหมิ่นเหม่ก้ำกึ่งกับกิจกรรมที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างโปร่งใส บนโต๊ะ
เงินสด 12 ล้านบาทถูกพบในกล่องพลาสติกใบใหญ่ ถูกวางไว้ข้างกองขยะในคอนโดมิเนียมย่านเมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 5 มิ.ย.2568
ภายในกล่องยังมีเอกสารหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และซองจดหมายตราครุฑแดง มีข้อความ “ด่วนที่สุด” ของ กสทช. ระบุชื่อ นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว เป็นอนุกรรมการฯ และที่ปรึกษาบอร์ด กสทช.
ต่อมา นายทวีวัฒน์ ได้นำเอกสารหลักฐานเข้ามาแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เป็นเจ้าของเงินจำนวนดังกล่าว โดยบอกว่า เป็นเงินของตนเองที่ได้จากงานทนายความ และงานที่ปรึกษาบริษัท 4 แห่ง โดยเบิกมาจากธนาคารในปี 2563 ทั้งหมด แต่เก็บเอาไว้จนลืมว่ามีเงิน และเหตุที่ไม่นำเงินใส่ในตู้เซฟ เพราะกลัวโจรรู้ว่ามีเงิน และมายกตู้เซฟไป
จากการให้สัมภาษณ์ของ นายทวีวัฒน์ ที่อ้างเป็นเจ้าของเงินสด 12 ล้านบาท ยังคงมีข้อสงสัยหลายประเด็น โดยเฉพาะที่มาของเงินจำนวนดังกล่าว และพฤติกรรมการเก็บเงินจำนวนมากโดยไม่ยอมนำเข้าระบบธนาคาร แต่กลับเก็บเป็นเงินสดใส่ไว้ในกล่องพลาสติก ทิ้งไว้จนลืมอย่างไม่น่าเชื่อ
แม้นายทวีวัฒน์จะนำเอกสารหลักฐานที่มาของเงินมาแสดง แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และขุดค้นที่มาของเงินดังกล่าวอย่างละเอียด
@@ พิรุธไหม? 4 บริษัทอยู่ยะลา ทำกิจการเดียวกัน ปิดพร้อมกัน

จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 พบว่า เงินทั้ง 12 ล้านบาทถูกถอนออกมาจากธนาคาร เมื่อวันที่ 9, 12, 13, 18 และ 19 พ.ค.2563
ส่วนข้อมูลบริษัทที่นายทวีวัฒน์อ้างว่าเป็นที่มาของเงิน 12 ล้านบาทนั้น ถูกระบุว่าเป็นค่าที่ปรึกษาให้บริษัท 4 แห่ง คือ
1.บริษัท ทีทูดับบลิว จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา ประกอบกิจการที่ปรึกษาด้านการลงทุน การให้คำปรึกษาบริหารงานด้านผลิต อุตสาหกรรม การเกษตร จดทะเบียน 9 พ.ค.2560 เลิกกิจการ 8 เม.ย.2564
2.บริษัท อีดิเตอร์ จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา ประกอบกิจการที่ปรึกษาด้านการลงทุน การให้คำปรึกษาบริหารงานด้านผลิต อุตสาหกรรม การเกษตร จดทะเบียน 22 มิ.ย.2559 เลิกกิจการ 8 เม.ย.2564
3.บริษัท อาร์เอ็มดี โฮลติ้งส์ จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา ประกอบกิจการที่ปรึกษาด้านการลงทุน การให้คำปรึกษาบริหารงานด้านผลิต อุตสาหกรรม การเกษตร จดทะเบียน 12 มิ.ย.2557 เลิกกิจการ 24 มี.ค.2564
4.บริษัท บิชมายด์ อันดามัน จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา ประกอบกิจการที่ปรึกษาด้านการลงทุน การให้คำปรึกษาบริหารงานด้านผลิต อุตสาหกรรม การเกษตร จดทะเบียน 23 เม.ย.2558 เลิกกิจการ 8 เม.ย.2564
จากข้อมูลดังกล่าวมีข้อสังเกตว่า ทั้ง 4 บริษัท ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันหมดคือ อ.เมืองยะลา ประกอบกิจการที่ปรึกษาด้านการลงทุน การให้คำปรึกษาบริหารงานด้านผลิต อุตสาหกรรม การเกษตร เหมือนกัน และได้เลิกกิจการในปีเดียวกัน คือในปี 2564
โดยมี 3 บริษัทได้เลิกกิจการพร้อมกันในวันที่ 8 เม.ย.2564 ส่วนบริษัท อาร์เอ็มดี โฮลติ้งส์ จำกัด เลิกกิจการก่อน ในวันที่ 24 มี.ค.2564
@@ หลานชาย - หลานสะใภ้ชื่อโผล่เป็นกรรมการ 2 บริษัท
นอกจากนั้นยังพบข้อมูลความสัมพันธ์การเป็นเครือญาติกันของกรรมการบริษัท กับนายทวีวัฒน์ จำนวน 2 บริษัทคือ
1. บริษัท อาร์เอ็มดี โฮลติ้งส์ จำกัด มีชื่อของนายเอ (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี ชาว อ.ตะโหมด จ.พัทลุง เป็นกรรมการบริษัท เป็นลูกชายของน้องสาวนายทวีวัฒน์ และมีศักดิ์เป็นหลานของนายทวีวัฒน์
2.บริษัท บิชมายด์ อันดามัน จำกัด มีชื่อของ น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี ชาว อ.ตะโหมด จ.พัทลุง เป็นกรรมการบริษัท มีความสัมพันธ์เป็นภรรยานายเอ หลานชายนายทวีวัฒน์ กรรมการบริษัท บริษัท อาร์เอ็มดี โฮลติ้งส์ จำกัด และมีศักดิ์เป็นหลานสะใภ้ของนายทวีวัฒน์
@@ สงสัย 4 บริษัทนอมินีรับเงิน 624 ล้านหนุนนิคมจะนะ

จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัททั้ง 4 แห่ง พบว่า ในช่วงต้นเดือน ก.พ.2563 ทั้ง 4 บริษัทได้รับการสั่งจ่ายเช็คจากบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ที่ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้า และธุรกิจสถานีบริการเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ ผ่านธนาคาร CIMB เป็นเงินรวม 624 ล้านบาท แยกรายละเอียดตามบริษัทดังนี้
1.บริษัท ทีทูดับบลิว จำกัด ได้รับเช็ค 2 ครั้ง ในวันที่ 5 ก.พ.2563 ครั้งแรกเป็นเงิน 240,005 บาท ครั้งที่ 2 เป็นเงิน 249,359,995 บาท มีการนำเงินมาเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาประชาชื่น ซึ่งได้เปิดบัญชีเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2563 จากนั้นเริ่มมีการทยอยถอนเงินออกจากบัญชี ตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. – 30 มิ.ย.2563 รวม 131 ครั้ง เป็นเงิน 248,900,000 บาท
2.บริษัท อีดิเตอร์ จำกัด ได้รับเช็ค 2 ครั้ง ในวันที่ 5 ก.พ.2563 ครั้งแรกเป็นเงิน 120,005 บาท ครั้งที่ 2 เป็นเงิน 124,679,995 บาท มีการนำเงินมาเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาประชาชื่น ซึ่งได้เปิดบัญชีเมื่อวันที่ 5 ก.พ.2563 จากนั้นเริ่มมีการทยอยถอนเงินออกจากบัญชี ตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. – 29 มิ.ย.2563 รวม 65 ครั้ง เป็นเงิน 123,500,000 บาท
3.บริษัท อาร์เอ็มดี โฮลติ้งส์ จำกัด ได้รับเช็ค 2 ครั้ง ในวันที่ 11 ก.พ.2563 ครั้งแรกเป็นเงิน 120,005 บาท ครั้งที่ 2 เป็นเงิน 124,679,995 บาท มีการนำเงินมาเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาประชาชื่น ซึ่งได้เปิดบัญชีเมื่อวันที่ 5 ก.พ.2563 จากนั้นเริ่มมีการทยอยถอนเงินออกจากบัญชี ตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. – 9 ก.ค.2563 รวม 65 ครั้ง เป็นเงิน 123,500,000 บาท
4.บริษัท บิชมายด์ อันดามัน จำกัด ได้รับเช็ค 2 ครั้ง ในวันที่ 5 ก.พ.2563 ครั้งแรกเป็นเงิน 120,005 บาท ครั้งที่ 2 เป็นเงิน 124,679,995 บาท มีการนำเงินมาเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาประชาชื่น ซึ่งได้เปิดบัญชีเมื่อวันที่ 5 ก.พ.2563 จากนั้นเริ่มมีการทยอยถอนเงินออกจากบัญชี ตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. – 25 มิ.ย.2563 รวม 65 ครั้ง เป็นเงิน 123,500,000 บาท
เจ้าหน้าที่ยังพบว่า การถอนเงินของทั้ง 4 บริษัทนี้ จะมีการถอนเงินออกจากบัญชีแต่ละครั้งเป็นจำนวนเงินที่เท่ากันทุกครั้ง คือ ครั้งละ 1.9 ล้านบาท คาดว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อจะได้ไม่ต้องแจ้งเหตุผลและที่มาของเงินกับสำนักงาน ปปง. เนื่องจากการเบิกเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยทุกครั้งในวันที่มีการถอนเงินของทั้ง 4 บริษัท นายทวีวัฒน์จะเป็นผู้มารอรับเงินจากคนที่มาเบิกถอน และเงินจำนวน 12 ล้านที่พบข้างถังขยะ ก็พบว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินที่ถูกถอนออกมาจากบัญชีของ 4 บริษัทดังกล่าว
ข้อมูลจากตำรวจสันนิษฐานว่า พฤติกรรมของนายทวีวัฒน์ รวมถึงความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกับบริษัททั้ง 4 แห่ง มีลักษณะคล้ายเป็น “บริษัทนอมินี” ที่ถูกตั้งมาเพื่อรับเงินจากบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีบทบาทในการผลักดันโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ในพื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา
โดยมีข้อมูลว่า นายทวีวัฒน์อาจจะเกี่ยวข้องกับมวลชนฝ่ายสนับสนุนให้มีการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อ.จะนะ ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่มีการทยอยถอนเงินออกมาจาก 4 บริษัทที่นายทวีวัฒน์เป็นที่ปรึกษา
@@ เอ็นจีโอจี้สอบเงิน 12 ล้าน มั่นใจโยง “นิคมจะนะ”

ด้านเครือข่ายภาคประชาชนจังหวัดสงขลา ได้ออกแถลงการณ์ขอให้ตรวจสอบกรณีเงิน 12 ล้าน และความไม่โปร่งใสในโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ โดยมองว่า การพบเงินสดจำนวน 12 ล้านนั้น เป็นการตอกย้ำความเชื่อในความไม่ปกติและไม่โปร่งใสของโครงการนี้
รวมถึงกระบวนการได้มาซึ่งที่ดินในพื้นที่ 3 ตำบล (ติดชายฝั่งทะเล) ของ อ.จะนะ ที่ถูกจัดซื้อจัดขายกันโดยมิชอบ และทำกันเป็นขบวนการระหว่างนักการเมือง เจ้าหน้าที่ที่ดินในพื้นที่ กับบริษัทผู้เป็นเจ้าของโครงการ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ค้นพบความไม่ปกติในเรื่องนี้มาแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด จึงถือโอกาสนี้เรียกร้องให้รัฐบาลติดตามและตรวจสอบเรื่องทั้งหมดให้ถึงที่สุด พร้อมเสนอให้รัฐบาลยุติการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะไว้ก่อน และหากพบถึงความไม่ปกติทั้งหมดจริง ก็ขอให้ยกเลิกโครงการนี้ในทันที
นายบรรจง นะแส ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวว่า กรณีเงิน 12 ล้านบาทนั้น แสดงให้เห็นชัดว่า โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะน่าถูกผลักดันอย่างไม่ตรงไปตรงมาในฝ่ายสนับสนุน
“ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช.รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรจะมีการตรวจสอบทั้งบริษัทเอกชน รวมถึง ศอ.บต. (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) ที่ชัดเจนว่าในเวทีประชาพิจารณ์โครงการเมื่อปี 2563 นั้น ทำตัวเป็นเจ้าภาพ นำคนนอกพื้นที่เข้ามายึดเวทีตั้งแต่ช่วงกลางคืน ใช้เวลาระยะสั้นๆ แล้วลงความเห็นว่าประชาชนเห็นด้วยกับโครงการ จึงควรตรวจสอบว่าในช่วงนั้นมีใครรับผิดชอบงานส่วนนี้ใน ศอ.บต.”
นายบรรจง กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นยังเชื่อว่ากระบวนการใช้เงินเพื่อให้การศึกษา SEA หรือ กระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ สำหรับแผนแม่บทการพัฒนาเชิงพื้นที่ของจังหวัดสงขลาและปัตตานี ที่ควรจะแล้วเสร็จตั้งแต่ปีก่อน แต่กลับยังยืดเยื้ออยู่
“เชื่อว่าเงิน 12 ล้านบาทเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเงินที่ใช้ในการผลักดันโครงการ และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ยุติ ยังมีกระบวนการพยายามผลักดันเพื่อให้ SEA มีผลการศึกษาเปิดทางให้เกิดนิคมอุตสาหกรรมจะนะขึ้นในพื้นที่ให้ได้”
@@ เครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นยื่นหนังสือ “DSI ภาคใต้”

นายรุ่งเรือง ระหมันยะ แกนนำเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น ได้เข้ายื่นหนังสือต่อศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ (DSI ภาคใต้) อ.เมือง จ.ปัตตานี เพื่อให้มีการตรวจสอบการออกโฉนดในที่ดินสาธารณะให้นายทุน และความไม่โปร่งใสของเงิน 12 ล้านบาท ว่า เชื่อมโยงกลุ่มสนับสนุนอุตสาหกรรมจะนะหรือไม่
“เครือข่ายฯ ติดตามประเด็นที่ดินมาตั้งแต่ต้น จึงอยากให้มีความชัดเจนในประเด็นที่ดินที่นายทุนกว้านซื้อไปในปี 2563 ว่าทำไมถึงมีการออกโฉนดที่ดินได้เป็นพันไร่ แต่ชาวบ้านที่อยู่อาศัยมาเป็นร้อยปี มีแค่ สค.1 ไม่สามารถมีโฉนดได้ และเรื่องที่ดินสาธารณะทับซ้อนกันมาก ซึ่งการจะมาสร้างนิคมอุตสาหกรรมใน อ.จะนะ มีที่มาที่ไปถูกต้องหรือไม่”
“ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับเงิน 12 ล้านหรือไม่ จึงขอให้มีการตรวจสอบ 4 บริษัทที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนถึงที่มาที่ไปของเงิน ซึ่งมีการเบิกมาตั้งแต่ปี 2563 ครั้งละ 1.9 ล้านบาท ซึ่งตรงกับช่วงจัดตั้งนิคมฯ พอดี ในฐานะเป็นคนในพื้นที่จึงอยากให้ดีเอสไอมีการตรวจสอบใน 2 ประเด็นคือ เอกสารสิทธิ์ที่ทับซ้อน และที่มาที่ไปของเงิน 12 ล้าน”
@@ พร้อมเปิดสำนวน “คดีพิเศษ” - ตรวจดูหลักฐาน
ด้านตัวแทนเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่ได้รับหนังสือร้องเรียน กล่าวว่า ประเด็นเงิน 12 ล้าน สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังดำเนินคดีตามอำนาจหน้าที่อยู่ ผู้เสียหายและอัยการจะสามารถดำเนินคดีนี้ได้ ในภาคประชาชนคือเป็นความไม่ชอบมาพากลในพื้นที่และสามารถดูพยานหลักฐานกับทางดีเอสไอได้
“เมื่อดูหลักฐานเบื้องต้นแล้วหากสามารถดำเนินการได้ ก็จะเปิดการสืบสวน หากเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ก็จะรับเป็นคดีพิเศษ หากพิจารณาแล้วเป็นอำนาจของหน่วยงานอื่น ก็จะส่งเรื่องไปยังหน่วยงานนั้นๆ ดีเอสไอเป็นหน่วยงานที่สังกัดกระทรวงยุติธรรรมที่จะต้องอำนวยความเป็นธรรมให้ทุกคน”
