
การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ทำให้ดุลการเมืองในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขยับผันแปรไปด้วย
โดยเฉพาะการพลิกขั้วจากฝ่ายค้านช่วงสั้นๆ ของพรรคภูมิใจกลับมาเป็นรัฐบาลอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือน แต่กลับทำให้ขั้วรัฐบาลเดิมอย่างพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีพรรคประชาชาติเป็นพันธมิตร กลายสภาพเป็นฝ่ายค้าน
พรรคประชาชาติเป็นแชมป์ สส.จากการเลือกตั้งทั่วไป 2 ครั้งต่อเนื่องกันในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยในปี 2562 ได้ สส.เขต 6 คนจากทั้งหมด 11 คน และในปี 2566 ได้ สส.เขตเพิ่มเป็น 7 คน จาก สส.สามจังหวัด 13 คน
4 ปีหลังจากการเลือกตั้งปี 2562 พรรคประชาชาติทำหน้าที่ฝ่ายค้าน และทำผลงานได้ดี โดยเฉพาะการอภิปรายเรื่องสำคัญๆ รวมถึงนำวาระและปัญหาของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าสู่สภา ทำให้ในการเลือกตั้งปี 2566 พวกเขารักษาพื้นที่เดิมไว้ได้ และขยายฐานเสียงออกไปท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดมากกว่าเดิม
โดยพรรคประชาชาติยังกวาดคะแนนปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 ทุกเขต และได้ สส.แบบบัญชีรายชื่อมาอีก 2 คน ขณะที่ยะลา มี 3 เขต พวกเขากวาดยกจังหวัด
หลังเลือกตั้งปี 2566 พรรคประชาชาติพลิกมาเป็นรัฐบาล แต่การตั้ังรัฐบาลข้ามขั้วของพรรคเพื่อไทย ทำให้ 5 พรรคการเมืองที่มี สส.ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 13 คน เป็นพรรครัฐบาลด้วยกันทั้งหมด
- ประชาชาติ สส. 7 คน
- พลังประชารัฐ สส. 3 คน (ภายหลังเปลี่ยนเป็นพรรคกล้าธรรม 2 คน)
- ภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ และประชาธิปัตย์ พรรคละ 1 คน
แต่พรรคที่เอาจริงเอาจังในการขยายฐานคะแนนเสียงในภาพกว้างของพื้นที่ปลายด้ามขวาน ดูจะมีพรรคประชาชาติพรรคเดียว เพราะมีลักษณะเป็น “พรรคท้องถิ่นนิยม” และ “พรรคของคนมุสลิม” แต่ก็มีชาวไทยพุทธจำนวนไม่น้อยที่นิยมชมชอบ จากบทบาทของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรค ซึ่งได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
พ.ต.อ.ทวี ลงพื้นที่ทุกสัปดาห์ มีกิจกรรมในพื้นที่ต่อเนื่อง ไปร่วมงานของคนในพื้นที่ทุกงาน ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง เปิดงาน กีฬาฟุตบอล กีฬาสี ขบวนพาเหรดตาดีกา ไม่เว้นแม้แต่งานแต่งงาน
พรรคประชาชาติวาดหวังว่าจะครองที่นั่งมากขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดน และขยายไปยังสงขลา
แต่อีกพรรคหนึ่งที่มีบทบาทเชิงลึกมากเป็นพิเศษ แม้ภายนอกจะดูนิ่งๆ เงียบๆ ก็คือ พรรคภูมิใจไทย
ก่อนถอนตัวจากรัฐบาลเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน เมื่อปลายเดือน ก.ย.2568 หลังกรณีคลิปเสียงฮุนเซน พรรคภูมิใจไทยได้คุมกระทรวงมหาดไทย โดยมีหัวหน้าพรรค นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการ
นายอนุทินลงพื้นที่ชายแดนใต้หลายครั้ง เพราะต้องกระตุ้นบทบาทของ อส. หรือ อาสารักษาดินแดน ให้มีความพร้อม เพื่อรับมอบภารกิจดูแลพื้นที่แทนทหาร ตามแผนส่งมอบภารกิจในปี 2570
กระทรวงมหาดไทยจึงต้องจัดงบประมาณสนับสนุนในส่วนนี้ ทั้งยุทโธปกรณ์ และการฝึกอบรม รวมถึงบรรจุกำลังพล ทำให้บทบาทของมหาดไทย และนายอนุทิน ลงถึงรากหญ้าในพื้นที่
ประกอบกับฝ่ายปกครอง ในส่วนภูมิภาค ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ล้วนขึ้นตรงกับมหาดไทย ทำให้พรรคภูมิใจไทยมีฐานกำลังข้าราชการในระดับพื้นที่และท้องถิ่นอยู่เต็มพิกัด
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา การขับเคลื่อนงานการเมืองของพรรคประชาชาติในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงมีอุปสรรค และไม่บรรลุเป้าหมายเต็มร้อย แม้ พ.ต.อ.ทวี จะลงพื้นที่ต่อเนื่อง เพราะกลไกฝั่งมหาดไทยไม่ได้รับลูกเท่าที่ควร
โดยเฉพาะการขับเคลื่อนนโยบายที่ขัดแย้งกัน อย่างการพยายามทำให้ “กระท่อม-กัญชา” กลับสู่บัญชียาเสพติด ซึ่งสวนทางกับนโยบายของพรรคภูมิใจไทยอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่ปรากฏเงียบๆ เหมือนเป็นคลื่นใต้น้ำ คือการปลดเกียร์ว่างของข้าราชการฝ่ายปกครอง “สายสีน้ำเงิน” ไม่เด้งรับนโยบาย “วาระพืชกระท่อม 120 วัน” ของ พ.ต.อ.ทวี ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตาม เร่งรัดการดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด (ครส.) ซึ่งมีการขยายขอบเขตการรณรงค์คัดค้านพืชเสพติดไปถึง “กัญชา” ด้วย
ห้วง 120 วันที่ประกาศ “วาระพืชกระท่อม” เกิดความลักลั่นในพื้นที่อย่างชัดเจน บางอำเภอที่ไม่ใช่ “ฝ่ายปกครองสายสีน้ำเงิน” ขานรับนโยบายอย่างคึกคัก ภาคประชาชนถึงขั้นออกมาเคลื่อนไหว เผากระท่อม-กัญชา และแสดงพลังกดดันร้านค้าไม่ให้ขายพืชเสพติดกันอย่างโจ๋งครึ่มริมถนนหลวง จนเกิดพลังสังคมปฏิเสธ “กระท่อม-กัญชาเสรี”
แต่ในบางพื้นที่ที่ถูกเรียกว่าเป็น “พื้นที่เด็กภูมิใจไทย” กลับไม่มีการขยับใดๆ โดยอ้างว่าไม่มีกฎหมายรองรับ ทั้งที่มีการใช้ “กฎชุมชน - กติกาหมู่บ้าน” ในรูปแบบของ “ฮูกมปากัต” ในการขับเคลื่อน
นี่คือปัญหาที่ซ่อนอยู่แต่เดิม แม้ทั้งสองพรรคจะร่วมรัฐบาลอยู่ด้วยกัน
ต่อมาเมื่อพรรคภูมิใจไทยเป็นฝ่ายค้าน และพรรคเพื่อไทยเข้าไปคุมกระทรวงมหาดไทยแทน ก็เริ่มปฏิบัติการล้างบาง “สายสีน้ำเงิน” เริ่มจากผู้ว่าฯนราธิวาส ที่โดนย้ายไปตั้งแต่ล็อตแรกๆ และมีข่าวว่ากำลังจะถึงคิวนายอำเภอ โดยเฉพาะอำเภอที่เกียร์ว่างเรื่องปราบยาเสพติด
แต่เมื่อขั้วอำนาจเปลี่ยน พรรคภูมิใจไทยพลิกกลับมาเป็นรัฐบาล ทำให้ข้าราชการน้อยใหญ่ใน “สายสีน้ำเงิน” ขยับตัวกันอย่างคึกคัก และมั่นใจในอนาคตมากขึ้น ส่วนนโยบายที่เดินหน้าโดยพรรคประชาชาติ เริ่มเงียบเหงาลง
ประกอบกับเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. คนสนิทของ พ.ต.อ.ทวี อย่าง พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ก็ขยับไปเป็นปลัดกระทรวงแรงงานพอดี ทำให้การขับเคลื่อนงานในพื้นที่หยุดชะงัก เหมือนขาดผู้นำ ทั้งด้านความมั่นคงเกี่ยวกับยาเสพติด และงานพัฒนา
ที่น่าสนใจคือการขยายฐานของพรรคภูมิใจไทยที่มี สส.หลุดเข้าสภาได้เพียงหนึ่งเดียว ที่นราธิวาส ล่าสุดมีการเปิดเจรจากับ นายคอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี พรรคพลังประชารัฐ ให้เปลี่ยนเสื้อมาเป็น “สีน้ำเงิน” แว่วว่าเจ้าตัวกำลังตัดสินใจ
นอกจากนั้น ภูมิใจไทยยังได้ นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตแม่ทัพ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประชาธิปัตย์ มารับผิดชอบพื้นที่เดิมที่ตนเองถนัด โดยมี สส.เป็นทุนเดิมอยู่แล้วที่สงขลา 2 คน และปัตตานี 1 คน ในสีเสื้อประชาธิปัตย์ แม้จะยังไม่ปิดดีลที่ปัตตานี แต่ก็มีแนวโน้มขยายฐานได้อีก ในสีเสื้อภูมิใจไทย
ส่วนนราธิวาส ขุนพลคนเดิมอย่าง นัจมุดดีน อูมา อดีต สส. 3 สมัย ก็ยังขะมักเขม้น ภายใต้การทำทีมของ “โกเกี้ยะ” พิพัฒน์ รัชกิจประการ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนใหม่
การได้เลื่อนชั้นคุมกระทรวงเกรดเอบวก อย่างคมนาคม ยิ่งมีโอกาสสร้างผลงาน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นที่ในภาคใต้ตอนล่างที่ยังขาดแคลนอยู่พอสมควร
ทั้งหมดนี้คือโอกาสของภูมิใจไทยที่น่าจะเบียดชิงพื้นที่กับพรรคประชาชาติอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
อีกหนึ่งพรรคที่มองข้ามไม่ได้ คือ พรรคกล้าธรรม ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ที่นราธิวาส โดยมีสองพี่น้อง “ตระกูลมะยูโซ๊ะ” เป็นกลจักรสำคัญในพื้นที่ และล่าสุด “สส.บีลา” สัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ พี่ใหญ่ ก็มีชื่อเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยที่กำลังฟอร์ม ครม.ด้วย
หากชื่อไม่ตกหล่น ก็จะทำให้การเมืองในจังหวัดชายแดนใต้ ทั้งปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา สตูล ร้อนแรงขึ้นอย่างแน่นอน
โดยนราธิวาสกับปัตตานี น่าจะเป็นพื้นที่แข่งเดือด ในโมเดล “การเมืองบ้านใหญ่” และน่าจะมีจำนวน สส.เพิ่มขึ้น จากประชากรที่เพิ่มขึ้นด้วย
เช่นเดียวกับยะลา ที่ตระกูล “มะทา” ภายใต้การนำของ “อาจารย์วันนอร์” วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ ซูการ์โน มะทา น้องชาย และเลขาธิการพรรคประชาชาติ ก็ต้องลุ้นรักษาพื้นที่เดิมไว้ให้ได้ เพื่อให้เป็นฐานที่มั่นที่แข็งแกร่งของประชาชาติ และอาจเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายที่ถูกท้าทายน้อยกว่าพื้นที่อื่น แตกต่างจากนราธิวาส และปัตตานี
ส่วนสงขลา และสตูล ต้องถือว่ายังเจาะยากมาก ประกอบกับอนาคตทางการเมืองของ พ.ต.อ.ทวี หัวหน้าพรรค ยังผูกอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ประเด็นมาตรฐานจริยธรรม กรณีถูกกล่าวหาจาก สว.สายสีน้ำเงิน ว่าแทรกแซงคดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา จนอาจถูกถอดจากตำแหน่งได้เหมือนกัน
สภาพการณ์เช่นนี้จึงเป็นความยากลำบากของพรรคประชาชาติ ที่อย่าว่าแต่จะขยายฐานเลย แต่รักษาพื้นที่เดิมเอาไว้ก็ไม่ง่ายเสียแล้ว
ผิดกับภูมิใจไทย กับกล้าธรรม กลับมีความหวังที่สดใสแวววาวมากกว่า
ยิ่งได้มีสถานะเป็นรัฐบาลช่วงใกล้เลือกตั้งแบบนี้ด้วย ยิ่งช่วงชิงความได้เปรียบ
ทั้งหมดจึงกลายเป็นโจทย์ยากของพรรคประชาชาติในห้วงเวลา 4 เดือนนับจากนี้ หากมีการยุบสภาเกิดขึ้นจริง
และแม้รัฐบาลอนุทินลากยาว ก็ยังไม่รับประกันว่าสถานการณ์แบบนั้นจะเข้าทางใคร?
