
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า แม้แต่ พลเอกสมศักดิ์ รุ่งสิตา หรือ “บิ๊กอั๋น” ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขดับไฟใต้คนใหม่ และเพิ่งลงใต้ครั้งแรกพร้อมนายกฯอนุทิน เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็ยังยอมรับว่า “เวลามีน้อย” ต้องใช้บริการมาเลเซียเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” ไปก่อน เพราะทำอะไรไม่ได้มาก
ทัศนะนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญย้อนกลับไปที่รัฐบาลว่า แต่งตั้ง “คณะพูดคุยสันติสุขฯ” ขึ้นมาทำไม
เหตุผลที่ทำให้เกิดคำถามนี้ก็คือ...
1.เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ เฉพาะกาล อายุแค่ 4 เดือน ควรทำเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ สำคัญๆ ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะหน้าเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง หรือแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยไม่แตะนโยบายที่ต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา
2.การทำงานของคณะพูดคุยสันติสุขฯ ต้องประสานกับรัฐบาลมาเลเซีย ในฐานะ “ผู้อำนวยความสะดวก” และประสานกับ “กลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ” เพื่อให้ส่งตัวแทนเข้าร่วมโต๊ะพูดคุย ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ล้วนต้องใช้เวลาทั้งสิ้น
3.แม้จะตั้งคณะพูดคุยทั้งสองฝ่ายได้แล้ว คือ ฝ่ายรัฐบาลไทย กับฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ การจะนัดคุยกันแต่ละครั้ง ก็ต้องทอดเวลาค่อนข้างนาน อย่างในอดีตที่ผ่านมา ก็มีการนัดกัน 2-3 เดือนต่อ 1 ครั้ง ซึ่งหากอายุรัฐบาลมีแค่ 4 เดือน อาจจะพูดคุยได้แค่ครั้งเดียว
4.การพูดคุยต้องการความต่อเนื่อง ความไว้เนื้อเชื่อใจ และ “อาณัติการตัดสินใจ” หรือ “การมีเสถียรภาพทางสถานะ” เพราะต้องมีการตกลง เจรจา ต่อรอง
หากเป็นคณะพูดคุยอายุสั้น ย่อมมีความเสี่ยงว่า กลุ่มผู้เห็นต่างฯจะไม่ร่วมพูดคุย หรือไม่ร่วมมืออย่างเต็มที่ เพราะคาดเดาได้ยากว่า รัฐบาลชุดนี้จะชนะเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลอีกหรือไม่
ต้องไม่ลืมว่า คณะกรรมการพิเศษที่ตั้งโดยฝ่ายบริหารเช่นนี้ จะพ้นสภาพไปพร้อมกับรัฐบาล หากหลังเลือกตั้ง พรรคประชาชนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็จะไม่ตั้งคณะพูดคุยตามโครงสร้างนี้แน่นอน เนื่องจากไม่ต้องการให้ “อดีตทหาร” ทำหน้าที่พูดคุยสันติภาพ
5.การพูดคุยกับขบวนการบีอาร์เอ็น ที่ค้างมาตั้งแต่รัฐบาลอดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ที่มี นายฉัตรชัย บางชวด เป็นหัวหน้าคณะพูดคุย ก็คือข้อตกลงใน “แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม” หรือ JCPP ซึ่งถูกคัดค้านจากนักวิชาการและผู้รู้หลายฝ่าย เพราะมองว่าเป็นแผนปฏิบัติการที่เอื้อให้ฝ่ายบีอาร์เอ็นได้เปรียบรัฐไทยทุกประตู
การเร่งรัดตั้งคณะพูดคุยชุดใหม่ ในช่วง “รัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือน” โดยการผลักดันของ นายฉัตรชัย บางชวด อดีตหัวหน้าคณะพูดคุย จะอนุมานได้หรือไม่ว่า หากกลุ่มบีอาร์เอ็นกระโดดเข้าร่วมวง ทั้งๆ ที่เวลามีน้อยมาก แปลว่าบีอาร์เอ็นเห็นช่องทางที่จะฟื้น JCPP กลับมา และอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบประเทศไทย
ประเด็นที่น่าสนใจนอกเหนือจากเหตุผลทั้ง 5 ข้อ ก็คือ งบประมาณที่ใช้ในการพูดคุยสันติสุข ซึ่งมีการตั้งไว้ปีละ 20 ล้านบาท
เรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของคนในแวดวงความมั่นคง และเกี่ยวข้องกับภารกิจดับไฟใต้ ว่าการที่รัฐบาลเฉพาะกิจซึ่งมีเวลาแค่ 4 เดือน เร่งตั้งคณะพูดคุย ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีบรรจุในนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา และไม่ได้มีแนวทางชัดเจนว่าจะพูดคุยกับใคร อย่างไร ถือเป็นพฤติการณ์ “ต้องการใช้งบ” แบบ “เก็บทุกเม็ด” หรือไม่
มีข้อความในแอปพลิเคชั่นไลน์ ซึ่งเป็นการพูดคุยกันของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานความมั่นคง ตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งคณะพูดคุย เกี่ยวข้องกับงบประมาณปีละ 20 ล้านบาทหรือไม่ เพราะมีการหารือนอกรอบกันแล้วว่า จะเดินทางไปเปิดโต๊ะพูดคุยกันที่ไหน บินไปยุโรปประเทศอะไรดี ฯลฯ
เท่านั้นยังไม่พอ สมช.ยังเสนอตั้ง “คณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล” โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อเป็นกลไกเชื่อมการทำงานระหว่างฝ่ายนโยบายกับฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่สำหรับภารกิจดับไฟใต้ให้มีความสอดคล้องกันอีกด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรอเคาะรายชื่อ
สำหรับ “คณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็นนวัตกรรม “องค์กรพิเศษดับไฟใต้” ที่ตั้งขึ้นในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังเข้าควบคุมอำนาจการปกครองในนามของ คสช. เมื่อปี 2557 และตั้งรัฐบาลขึ้นมาบริหารประเทศด้วยตัวเอง
“ผู้แทนพิเศษ” เกิดขึ้นโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 27/2559 เรื่องการปรับปรุงการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ 14 ก.ย.2559 เปิดช่องให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็น “ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล” ได้
พลเอกประยุทธ์ อยู่ในอำนาจ 9 ปี เป็นรัฐบาลต่อเนื่อง 2 รัฐบาล มีการตั้ง “ผู้แทนพิเศษ” รวม 3 ชุด ชุดแรกมี 13 คน ชุดที่ 2 มี 9 คน และชุดที่ 3 มี 7 คน ส่วนใหญ่ผู้ได้รับการแต่งตั้งก็เป็นอดีตนายทหาร และอดีตข้าราชการระดับสูงที่เคยทำงานในพื้นที่ชายแดนใต้นั่นเอง เหมือนกับต้องการ “หาที่ลง - หาตำแหน่ง” ให้คนเหล่านั้นยามเกษียณ
เสียงตอบรับการทำงานของ “ผู้แทนพิเศษ” ทุกชุด ไม่ดีเท่าใดนัก ส่วนใหญ่มองว่าไม่มีอำนาจหน้าที่อะไรชัดเจน โดยเฉพาะผู้แทนพิเศษชุดหลังๆ ไม่ค่อยลงพื้นที่ บางคนไม่เคยลงเลยด้วยซ้ำ ทำให้ถูกวิจารณ์ในแง่ “เปลืองงบประมาณ”
ส่องดูโครงสร้าง “ผู้แทนพิเศษ 1 คน” มีที่ปรึกษาได้อีก 3 คน, ผู้แทนพิเศษแต่ละคนล้วนมีค่าตอบแทน โดยหัวหน้าผู้แทนพิเศษมีค่าตอบแทนสูงสุด
นอกจากนั้นยังมี “ฝ่ายอำนวยการ” ของผู้แทนพิเศษ, มีการจัดตั้งสำนักงาน (มีการเปิดสำนักงานในกองพลทหารราบที่ 15 จ.ปัตตานี) มีฝ่ายเลขานุการ จึงต้องมีงบสำนักงาน งบเดินทาง งบที่พัก (เพราะผู้แทนพิเศษเป็นคนนอกพื้นที่) รวมแล้วหลายแสนบาทต่อคนต่อเดือน โดยโครงสร้างของผู้แทนพิเศษ ใช้งบ 15-25 ล้านบาทต่อปี
การตั้ง “หัวหน้าคณะพูดคุย” และ “ผู้แทนพิเศษ” ในรัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือน จึงน่าตั้งคำถามว่ามีเหตุผลอื่นใดนอกเหนือจากการ “ใช้งบประมาณทุกเม็ด” ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท…หรือไม่
