
การปาฐกถาพิเศษของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่สำนักงาน ป.ป.ส.ดินแดง วันอังคารที่ 27 พ.ค.68 สร้างกระแสฮือฮาได้ไม่น้อย
ไม่นับคำให้สัมภาษณ์ฉวัดเฉวียนและซ่อนนัยทางการเมืองมากมาย ยังปรากฏว่าช่วงที่ปาฐกถาถึงปัญหายาเสพติด ก็มีการแสดงวิสัยทัศน์บางส่วนที่ถูกนำไปขยายผลต่อด้วย
โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้
มีการตัดสาระสำคัญบางส่วนมาเผยแพร่ต่อ ทำนองว่าอดีตนายกฯทักษิณส่งสัญญาณใช้ “หมัดเหล็ก” เพื่อจบปัญหาไฟใต้ หนำซ้ำยังอาจโยงถึงการอยู่ในตำแหน่งต่อไปของแม่ทัพภาคที่ 4 พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ เนื่องจากได้รับเชิญให้เข้าฟังการปาฐกถา และร่วมประชุมที่สำนักงาน ป.ป.ส.ในวันเดียวกันด้วย
ขณะที่ข่าวการเปลี่ยนตัวแม่ทัพภาคใต้ ก็มีเสียงลือหึ่งมาระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบและย้อนฟังคำพูดของอดีตนายกฯทักษิณตลอดการปาฐกถาอย่างละเอียด “ทีมข่าวอิศรา” สรุปได้ว่า สาระทั้งหมดที่อดีตนายกฯพูด เป็นเรื่องยาเสพติดล้วนๆ ไม่มีพาดพิงถึงการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้การปราบปรามเป็นธงนำ
แต่เนื้อหาส่วนหนึ่งมีการพูดพาดพิงไปถึงการทำงานของ กอ.รมน. หรือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งมีภารกิจหลักในการแก้ไขปัญหาภาคใต้และยาเสพติด โดยอดีตนายกฯพูดเชิงท้าทายว่า ที่ผ่านมามีกระแสเรียกร้องให้ยุบ กอ.รมน. จึงขอให้ทำผลงานการแก้ไขปัญหาไฟใต้และยาเสพติดเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าควรยุบ หรือควรให้มี กอ.รมน.ต่อไป
@@ งบ 7 พันล้าน เดิมพันยุบ-ไม่ยุบ กอ.รมน.
“วันนี้ กอ.รมน.มีอยู่ทุกพื้นที่ โดยมี 3 ส่วน ส่วนหนึ่ง คือ กำลังของ กอ.รมน.เอง ส่วนที่ 2 คือกำลังของการช่วยราชการ และส่วนที่ 3 คือตามตำแหน่งงาน อย่าง ผอ.รมน.
หน่วยงานมีงบประมาณอยู่ปีละ 7,000 กว่าล้าน เอาไปใช้งานภาคใต้ 3,000 กว่าล้าน เหลืออีก 4,000 กว่าล้านใช้ทั่วไป เที่ยวนี้จะเป็นการพิสูจน์ เพราะมีคนบอกให้ยุบ กอ.รมน.ทิ้ง แต่ผมก็ยังไม่เชื่อว่าจะยุบหรือไม่ยุบดี เที่ยวนี้ กอ.รมน. จะเป็นคนบอกกับตัวเองว่า ควรยุบหรือควรจะเก็บไว้ นั่นก็คืองานภาคใต้และงานยาเสพติด กอ.รมน.ก็จะต้องมีบทบาทอย่างเข้มแข็งเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นผมก็จะฟ้องอีกว่า ช่วยยุบเถอะ 7,000 กว่าล้านเสียดาย“
@@ ปราบยาภาคใต้ต้องทุบ อย่าเหยาะแหยะ
อีกช่วงหนึ่ง อดีตนายกฯทักษิณพูดถึงภาคใต้ แต่น่าจะหมายถึง การจัดการปัญหายาเสพติดในภาคใต้ เพราะเป็นการพูดต่อจากสถานการณ์การผลิตยาเสพติดของว้าแดง
“เรื่องภาคใต้ก็ไม่ยาก หากต้องพูดคุยกันก็พูดคุยอย่างตรงไปตรงมา แต่ถ้าคุยไม่รู้เรื่อง หากจะต้องทุบก็ต้องทุบต้องเด็ดขาด วันนี้อย่าเหยาะแหยะ คุยก็ไม่จริงจัง ปราบปรามก็ไม่จริงจัง ใครจะกลัวเรา ต้องชัดเจน แล้วเราช่วยกันเอกซเรย์ทุกพื้นที่ ที่ไหนไม่มีก็ประกาศเลย อำเภอนี้สีขาว ให้รางวัลไปเลย”
“กระทรวงมหาดไทยอาจมีระบบที่จูงใจ ตำรวจอาจมีระบบที่จูงใจ ใครทำพื้นที่สีขาวมีรางวัล มีโปรโมชั่น ทุกคนทำงานก็อยากให้ผู้บังคับบัญชารับรู้ ทำดี ตั้งใจดี มีความสำเร็จ อย่าให้ประเพณีไม่ทำไม่ผิดฝังอยู่ในสังคม ถ้าเราเน้นตรงนี้ พร้อมกับนำบทเรียนเก่าๆ มา ซึ่งอันเก่าผมเน้นทฤษฎีอุปสงค์อุปทาน ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ตรงนี้ยังใช้ได้อยู่”
@@ คุมกระท่อม-กัญชา ไม่ต้องรอกฎหมาย
ช่วงท้าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงสถานการณ์พืชกระท่อมและกัญชาว่า ในพื้นที่ภาคใต้ หลังจากปลดกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด ทำให้ประชาชนเดือดร้อนจากกระท่อมเยอะ เพราะไปทำเป็นสี่คูณร้อย แล้วก็วางขายกัน และอีกส่วนหนึ่งคือกัญชา ขณะนี้เราช้าไปในเรื่องกฎหมายที่เสนอ ยังไม่เข้าสภา จึงทำให้ 2 ตัวนี้ (กระท่อมกับกัญชา) เวลาเราไปคุยกับต่างประเทศ เราบอกว่าเราไม่ได้เป็นแหล่งผลิตยาเสพติด แต่เขาบอกกัญชาเป็นแหล่งผลิต เราจะมาหารือกันว่าทำอย่างไรจะให้สองตัวนี้มีมาตรการ เพราะชาวบ้านบางพื้นที่บอกว่าเดือดร้อนจากกระท่อมเดือดร้อนมาก
“อันนี้ขอให้ทางคณะทำงาน ท่าน รมว.สาธารณสุข และ รมว.มหาดไทย ช่วยดู อาจจะไม่ถึงขนาดให้กลับไปที่เดิม (กลับสู่บัญชียาเสพติด) แต่ต้องควบคุมได้ มันเป็นความทุกข์ของประชาชน”
ประเด็นนี้ อดีตนายกฯทักษิณ แสดงความเห็นว่า “ประเทศเราเป็นประเทศที่…ซ้ายไม่ดีก็ไปขวา ขวาไม่ดีไปซ้าย ไม่ได้ยึดทางสายกลางของพระพุทธเจ้า การเสรีต้องมีการระเบียบข้อบังคับ (Regulation) ไม่อย่างนั้นมันจะเละเทะ”
“ต้องดูอย่างหลายประเทศที่เปิดกัญชาเสรี เขาไม่เดือดร้อน เขาไม่มีปัญหา เขามีความชัดเจนในเรื่องระเบียบข้อบังคับ ซึ่งบางอย่างไม่ต้องแก้กฎหมาย ก็เอาเสียก่อนก็ได้ สมมติระเบียบข้อบังคับ 10 ข้อ ถ้าไม่แก้กฎหมาย บังคับใช้ได้แค่ 8 ข้อ ทำไปก่อน ไม่ต้องรออีก 2 ข้อ เพราะวันนี้เราเสียหาย ทางการท่องเที่ยวก็มองว่าหาซื้อกัญชาที่ไหนก็ได้ ยังไม่พอ เราไม่มีระเบียบบังคับว่า การไปทำอาหารที่มีกัญชา จนบางครั้งทำให้คนเสียชีวิต”
“ฉะนั้นระเบียบข้อบังคับเป็นเรื่องสำคัญมาก ยกตัวอย่างเนเธอร์แลนด์ ร้านที่ขายกัญชามันมีบอกชัดเจน คนไปเพราะตั้งใจจะไป ความไม่รู้ของคนไทยมีเยอะ อันนี้คือจุดอ่อนของสังคมไทย”
