
หลังจากรอ “ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้” ของรัฐบาลเพื่อไทยมาค่อนข้างนาน…
ล่าสุดในเวทีปาฐกถาเรื่องยาเสพติด เมื่อวันอังคารที่ 27 พ.ค.68 ที่สำนักงาน ป.ป.ส. อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ขู่ใช้มาตรการ “ทุบ” ด้วย “หมัดเหล็ก” ทุบ เพื่อจัดการปัญหาภาคใต้
“เรื่องภาคใต้ก็ไม่ยาก แน่นอนเราใช้คำว่า Iron Fist กับ Velvet Glove มันใช้ได้จริงๆ คือบทที่จะต้องพูดคุยกัน ก็ต้องคุยกัน ก็พูดคุยอย่างตรงไปตรงมา แต่ถ้าคุยไม่รู้เรื่อง หากจะต้องทุบ ก็ต้องทุบต้องเด็ดขาด วันนี้อย่าเหยาะแหยะ คุยก็ไม่จริงจัง ปราบปรามก็ไม่จริงจัง ใครจะกลัวเรา วันนี้ต้องชัดเจนทั้ง 2 ข้าง Iron Fist กับ Velvet Glove แล้ว reward กับ punishment ชัดเจนแล้ว…”
อดีตนายกฯทักษิณ พูดประโยคเหล่านี้ ในบริบทการแก้ไขปัญหายาเสพติด ก่อนจะพูดถึงภาคใต้ ก็พูดเรื่องว้าแดง และพอจบท่อนที่คัดมาข้างบน ก็พูดว่า... “เราช่วยกันเอกซเรย์ทุกพื้นที่ ที่ไหนไม่มีก็ประกาศเลย อำเภอนี้สีขาว ให้รางวัลไปเลย”
ทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นเรื่องยาเสพติด
แต่วันถัดมา คือพุธที่ 29 พ.ค. “ทีมข่าวอิศรา” ได้มีโอกาสพบอดีตนายกฯทักษิณ ระหว่างเป็นเจ้าภาพงานสวดพระอภิธรรม นายธรรมนูญ ประจวบเหมาะ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งถึงแก่อนิจกรรม ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุฯ บางเขน จึงมีโอกาสได้สอบถามเจ้าตัวในเรื่องนี้ เพื่อความชัดเจน เพราะหลังจากที่มีการเผยแพร่ข่าวออกไป ก็มีเสียงวิจารณ์ไปต่างๆ นานา
อดีตนายกฯทักษิณ ยอมรับว่า ที่พูดเรื่อง Iron Fist หรือ “หมัดเหล็ก” กับ Velvet Glove หรือ “ถุงมือกำมะหยี่” เป็นการพูดถึงปัญหาชายแดนใต้ ไม่ใช่ปัญหายาเสพติด ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำว่า การแก้ปัญหาต้องเดินคู่กันทั้ง 2 ข้าง 2 ขา คือ “ปราบปราม” บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด กับอีกขาคือ “เจรจา” เพราะถ้าไปทำด้านเดียว หรือปราบปรามไม่จริงจัง ก็จะไม่มีใครกลัว และเจรจาไม่สำเร็จ
“วันนี้เรายังอ่อนเรื่องปราบปรามเกินไปหน่อย” อดีตนายกฯระบุ
และว่า “ทุกวันนี้บีอาร์เอ็นก็เพลินเรื่องเงินบริจาค เจ้าหน้าที่ไทยก็สนุกสนานกับเรื่องงบประมาณ ทำให้ปัญหายืดเยื้อ ไม่ยอมจบเสียที จึงต้องปรับแนวทางใหม่เพื่อให้ทุกอย่างจบภายในปีหน้าตามที่เคยพูดเอาไว้”
เมื่อถามถึงเรื่องการพูดคุยเจรจา อดีตนายกฯทักษิณ บอกว่า นายกฯอันวาร์ อับราฮิม ของมาเลเซีย รับปากจะช่วยเรื่องนี้อย่างเต็มที่ โดยนำ “ผู้นำบีอาร์เอ็นตัวจริง” มาร่วมโต๊ะพูดคุย จึงเชื่อว่าปัญหาจะจบอย่างแน่นอน
นายทักษิณ เล่าย้อนอดีตด้วยว่า สมัยที่ นายนาจิบ ราซัค เป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตนได้ไปพบแกนนำกลุ่มเหล่านี้นับสิบคน ก็พูดคุยกัน และตกลงกันว่าจะกลับบ้านด้วยกัน วันนี้ตนได้กลับบ้านแล้ว ฝั่งโน้นจึงทวงถามมาว่า เมื่อไรพวกเขาจะได้กลับบ้าง ตามที่เคยคุยกันไว้ ฉะนั้นวันนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องมาสานต่อ
@@ 4 ความอ่อนไหว ไม่รับประกันความสงบ
แม้จะเป็นการส่งสัญญาณชัดจากผู้มีบารมีเหนือพรรคเพื่อไทย แต่แนวทางที่สื่อสารออกมา ค่อนข้างอ่อนไหว และไม่ได้รับประกันความสำเร็จ ด้วยเหตุผล คือ
1.นายกฯอันวาร์ สามารถกดดันแกนนำบีอาร์เอ็นได้ทุกกลุ่มจริงหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่ โดยเฉพาะระดับแกนนำ เคลื่อนไหวอยู่ในรัฐภาคเหนือของมาเลเซีย ติดกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของฝ่ายค้าน
2.ฝ่ายที่กุมข้อมูลแกนนำบีอาร์เอ็น คือ สันติบาลมาเลเซีย ซึ่งในอดีตเป็นไม้เบื่อไม้เมากับนายกฯอันวาร์
3.การประกาศใช้ “หมัดเหล็ก” แก้ปัญหา เริ่มมีกระแสต้านจากในพื้นที่ โดยเฉพาะนักสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอ และภาคประชาสังคม ออกมาแสดงท่าทีคัดค้าน ต่อต้านทันที
4.สถานการณ์ในพื้นที่ทวีความรุนแรงขึ้น ช่วงเวลาเดียวกันกับที่อดีตนายกฯทักษิณออกมาสื่อสาร ก็เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบหลายเหตุการณ์ โดยเฉพาะการโจมตีโรงพักจะแนะ จังหวัดนราธิวาส และยิงครู กับ อส. กลางสนามตะกร้อ ที่ อบต.เกาะสะท้อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
@@ เตือนส่งสัญญาณ “หมัดเหล็ก” ขัดหลักการอาเซียน
นายฮุสณี บินหะยีคอเนาะ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการสันติภาพชายแดนใต้ ให้ความเห็นกับท่าทีของอดีตนายกฯทักษิณว่า เป็นการคิดแบบผู้นำทางการเมืองนอกพื้นที่ ถ้อยคำของนายทักษิณ มีลักษณะสนับสนุนการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาความรุนแรง เป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งต่อหลักการสร้างสันติภาพที่คนในพื้นที่แสวงหาเสมอมา
แนวคิดเช่นนี้ ไม่เพียงกระทบต่อความเชื่อมั่นภายในประเทศ หรือคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อบทบาทของไทยในประชาคมอาเซียน ซึ่งยึดถือหลักการไม่ใช้ความรุนแรงเป็นรากฐานสำคัญของความร่วมมือในการแก้ปัญหาด้วย
ด้านประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า พูดแบบนี้ทำให้เข้าใจได้ว่าใช้วิธี “แรงมาก็แรงกลับ” สะท้อนมุมมองรากฐานของปัญหา จากที่เคยพูดโจรกระจอก เมื่อ 21 ปีก่อน ก็มาขออภัยเมื่อต้นปีมานี้ ท่าทีแบบนี้คงจบปัญหาไม่ได้ ชาวบ้านก็รับเคราะห์กันต่อไป
