
ในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงบ้านเรามุ่งถกเถียงแก้ข่าวกันอยู่ว่า เหตุซุ่มยิงที่ชายแดนใต้ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อส. ตกเป็นเหยื่อไปแล้วหลายราย เป็นแค่ “การซุ่มยิงธรรมดา” ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้น “สไนเปอร์”
ความหมายคือยังไม่มีการใช้ปืนติดกล้อง และพลแม่นปืนที่ผ่านมาฝึก...
ฉะนั้นจึงอย่าตื่นตระหนกหรือตีข่าวใหญ่จนเกินไป โดยมีการติดต่อตรงถึง “ทีมข่าวอิศรา” เพื่อชี้แจง อธิบาย แนวๆ ขอความร่วมมือด้วย
อ่านประกอบ : “สไนเปอร์ - ซุ่มยิง” รบกับผีของจริง…ที่ชายแดนใต้
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายผู้ก่อเหตุรุนแรงดูจะไม่ได้ให้น้ำหนักความสนใจไปที่ “ความหมาย” หรือ “นิยาม” เพราะไม่ว่าจะซุ่มยิงธรรมดา หรือสไนเปอร์ ดักยิงไกลเกินร้อยเมตร หรือแค่ 50-60 เมตร แต่ผลของมันเหมือนกัน
ก็คือ กำลังพลมีความเสี่ยง และป้องกันตัวได้ยากมากขึ้น เหมือนรบกับผี
“ทีมข่าวอิศรา” ลงพื้นที่พูดคุยสอบถามกำลังพลทุกสี ทุกหน่วย ทุกคนล้วนอยู่ในความกังวล และรู้สึกว่าตัวเองเสี่ยงอันตรายมากกว่าเดิม
@@ ยุทธวิธีทรงพลังใน “สงครามกลางเมือง”

ขณะที่ในทางทฤษฎีจากนักวิชาการที่ศึกษามา อย่าง รศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเคยค้นคว้าและทำวิจัยเรื่องยุทธวิธีก่อการร้ายในเขตเมือง รวมถึงโลนวูลฟ์ ก็ออกมาเตือนเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยตั้งประเด็นไว้อย่างน่าสนใจ คือ “บทบาทของสไนเปอร์ในสมรภูมิของสงครามกลางเมือง : เครื่องมือยุทธศาสตร์ ความหวาดกลัว และการต่อรอง”
อาจารย์ฐิติวุฒิ เริ่มต้นอธิบายในภาพรวมว่า “สไนเปอร์” ถือเป็นเครื่องมือยุทธศาสตร์ที่ทรงพลังในสงครามกลางเมือง โดยเฉพาะในฐานะกลไกสำคัญในการทำสงครามจิตวิทยา การปรากฏตัวของสไนเปอร์ในเขตเมืองสามารถสร้างความหวาดกลัวและความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายกำลังพล การควบคุมพื้นที่ และการใช้เส้นทางยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในบริเวณเมืองที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ป่าเขา การใช้สไนเปอร์ที่มีประสิทธิภาพสามารถบั่นทอนขวัญกำลังใจ ควบคุมพฤติกรรมของประชาชน และจำกัดการเคลื่อนไหวของรัฐหรือฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีนัยสำคัญ
หนึ่งในจุดเด่นของสไนเปอร์ คือ การสังหารเป้าหมายที่สำคัญ เช่น ผู้นำฝ่ายตรงข้าม ผู้บัญชาการ หน่วยข่าว หรือบุคคลที่มีสัญลักษณ์ทางการเมืองและจิตวิทยา การลอบสังหารเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการลดศักยภาพของฝ่ายตรงข้ามในเชิงโครงสร้าง แต่ยังอาจนำไปสู่การยั่วยุให้เกิดการตอบโต้ด้วยกำลัง และจุดชนวนให้เกิดความรุนแรงรอบใหม่อีกครั้ง
@@ เตือนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ - บีอาร์เอ็นพัฒนาขีดความสามารถ

อาจารย์ฐิติวุฒิ อธิบายต่อว่า ในบริบทของพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทย ปรากฏการณ์ของสไนเปอร์ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากกลุ่มติดอาวุธที่ผ่านการฝึกฝนในประเทศเพื่อนบ้าน จากอดีตที่เป็นเพียงมือสมัครเล่น กลุ่มเหล่านี้ได้พัฒนาเป็นมืออาชีพ มีศักยภาพในการโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐอย่างแม่นยำและได้ผล
“สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถทางยุทธศาสตร์ของกลุ่มบีอาร์เอ็นเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของการทำสงครามแบบอสมมาตร ที่เน้นการใช้กำลังน้อยแต่สร้างผลกระทบสูง” นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งข้อสังเกต
@@ เครื่องมือต่อรองรัฐ ไม่เสี่ยงเสียมวลชน-งานการเมือง
บทบาทและผลสะเทือนจากการใช้สไนเปอร์ดูจะไปไกลกว่าการมุ่งสังหารเป้าหมาย และผลทางจิตวิทยาในการสร้างความหวาดกลัว เพราะ อาจารย์ฐิติวุฒิ มองว่า สไนเปอร์ได้กลายเป็นเครื่องมือในการต่อรองกับรัฐ โดยสามารถลดความสูญเสียของฝ่ายตนเอง และเลี่ยงการปะทะขนาดใหญ่ที่อาจส่งผลเสียต่อความชอบธรรมทางการเมืองของกลุ่ม เนื่องจากสามารถโจมตีเฉพาะเป้าหมายเจ้าหน้าที่รัฐโดยไม่กระทบต่อพลเรือน เป็นการรักษาภาพลักษณ์และลดความเสี่ยงทางการเมืองในช่วงเวลาที่การเจรจายังไม่ชัดเจน
“กลยุทธ์เช่นนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณกดดันอย่างแยบยลต่อรัฐ” นักวิชาการที่ศึกษายุทธวิธีก่อการร้ายในเมือง ระบุ
@@ ลามข้อสงสัย “สงครามตัวแทน - ขัดแย้งกระจายตัว”

อาจารย์ฐิติวุฒิ บอกอีกว่า การใช้สไนเปอร์ยังอาจส่งผลลบต่อกระบวนการสันติภาพ หรือการพูดคุยสันติสุขในระยะยาวด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีความพยายามสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” หรือการเดินหน้าเจรจา
- หากรัฐมองว่าเหตุการณ์ลอบยิงเป็นสัญญาณของการไม่จริงใจ ก็อาจนำไปสู่การชะลอหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเจรจา เพราะรัฐสามารถตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการสนับสนุนจากต่างชาติทั้งในด้านการฝึก การจัดหาอาวุธ และการสนับสนุนทางลอจิสติกส์ ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะของ “สงครามตัวแทน” ที่ซับซ้อนมากขึ้น
- อีกด้านหนึ่ง กลยุทธ์ของสไนเปอร์ยังส่งผลต่อการควบคุมพื้นที่ในเมือง การตั้งด่านตรวจ หรือการรักษาความปลอดภัยแบบเดิมเริ่มไร้ประสิทธิภาพ เมื่ออำนาจในการควบคุมและการใช้ความกลัวตกไปอยู่ในมือของกลุ่มติดอาวุธ ความขัดแย้งจึงเริ่ม “กระจายตัว” ออกนอกกรอบการต่อสู้แบบเดิม และกลายเป็นส่วนหนึ่งของการต่อรองเชิงอำนาจที่ละเอียดอ่อนและอันตรายมากกว่าเดิม
@@ แนะสร้าง “หน่วยต่อต้านสไนเปอร์”

นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สรุปว่า วิธีการรับมือของรัฐที่ต้องทำเร่งด่วนมากที่สุด คือ การติดตามเส้นทาง, การฝึกและการสนับสนุนจากต่างประเทศ รวมทั้งการลดความเสี่ยงผ่านการปรับยุทธวิธีทางทหารในพื้นที่ ทั้งการเปลี่ยนเส้นทางลาดตระเวน การใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อลดการคาดเดาหรือล็อกเป้า
นอกจากนั้น การพัฒนาเพื่อสร้างหน่วยต่อต้านสไนเปอร์ ยังกลายเป็นโจทย์ใหม่ของกองทัพไทยเช่นเดียวกัน ทั้งในกรณีของเซ็นเซอร์ตรวจจับเสียงปืน โดรนตรวจการ และระบบอินฟราเรด เป็นต้น
