
“อ.สุรชาติ” มึนผลเจรจายกแรก เปิดเวทีให้ทหารเจอกันหลังสิ้นเสียงปืนแค่ 6-7 ชั่วโมง ออกตัวพูดแทนทหาร ความรู้สึกของคนรบกันแล้วต้องไปปั้นหน้ายิ้ม จับมือ จะเป็นอย่างไร พร้อมตั้งคำถาม เหตุใดไม่มี Monitoring Team “คณะกรรมการติดตามการหยุดยิง” เตือนไร้กลไกจัดการหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดละเมิดข้อตกลง ส่งผลสันติภาพสุดเปราะบาง พร้อมปะทุทุกเมื่อ
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง ให้สัมภาษณ์พิเศษรายการ “ข่าวข้นคนข่าว” ทางเนชั่นทีวี ประเมินผลการเจรจายกที่ 1 ระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยอาจารย์ยอมรับว่าเป็นเรื่องดีที่บรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ แต่ก็ตั้งคำถามด้วยความประหลาดใจใน 2 ประเด็น คือ
1.เหตุใดจึงเร่งรีบเปิดเวทีให้ผู้นำทางทหารของทั้งสองฝ่ายไปพบปะกันในวันรุ่งขึ้นเลย หลังหยุดยิงเที่ยงคืนของคืนนี้ ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก
และ 2.เหตุใดจึงไม่มีการตั้งคณะทำงานที่เรียกว่า Monitoring Team เพื่อเข้ามาติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิง และตรวจสอบหากมีการละเมิดข้อตกลง
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเร่งให้ฝ่ายทหารพบกันวันพรุ่งนี้ เพราะการหยุดยิงเที่ยงคืน การรบจะมีจนถึง 23.59 น. เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทั่วโลก ใครผ่านสมรภูมิบ้านร่มเกล้า (การสู้รบกันระหว่างไทยกับลาว บริเวณพื้นที่พิพาทบ้านร่มเกล้า ชายแดนติดกันลาว ด้านอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อปี 2530) ก็คงเห็นแล้ว เมื่อเป็นแบบนั้นจะให้รุ่งเช้า ผู้บังคับบัญชาสองฝ่ายไปเจอกัน น่าจะไม่ค่อยสะดวกใจ”
“ในสถานการณ์เฉพาะหน้า ผมไม่แน่ว่าเป็นความคิดที่ดี การให้แม่ทัพภาคเรา ไปพบแม่ทัพภาคฝั่งโน้น จริงๆ แล้วผมอยากเห็น Monitoring Team มาควบคุม แล้วทอดเวลาออกไปก่อน ให้อารมณ์ทหารคลายสักนิด 3-5 วัน ค่อยมาเจอกัน ส่วนผู้นำฝ่ายการเมือง เจอกัน 4 ส.ค.ก็ว่ากันไป”
“ลองคิดดู ตอนนี้มีเรื่องกันอย่างหนัก พรุ่งนี้ไปปั้นหน้า ปั้นยิ้มเจอกัน มันใช่หรือไม่ ผมอยากได้ช่วงเวลาทอดออกไปสักนิด ปรับอารมณ์ ปรับสถานการณ์ ให้ฝ่ายทหารมีเวลาในเรื่องของจิตใจ เตรียมใจที่จะได้เจอกัน”
“ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้ ขอให้ผู้นำรัฐบาลไทย ขอช่วยชะลอนิดหนึ่ง พูดในนามของทหาร ในฐานะคนที่ศึกษาเรื่องสงครามมาตลอดชีวิต การรบถึงเที่ยงคืน แล้วไปพบกันตอนเช้า มันทำใจยาก คนไปทำข้อตกลงที่กัวลาลัมเปอร์พูดได้ทั้งนั้น แต่สถานการณ์จริงคือหน้างานสนาม ควรเคลียร์งานสนามให้เบาลงก่อน อยากขอเวลาให้ทหารทั้งสองฝ่ายปรับอารมณ์สักนิด”
“การไปพบกันของผู้นำทหารสองฝ่ายในวันพรุ่งนี้ ทำได้แค่รับเงื่อนไขการหยุดยิงที่เกิดขึ้น เพราะรายละเอียดต่างๆ ยังคุยกันไม่ได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้ มากที่สุด สองฝ่ายไปเจอกัน ถ้าเป็นรูปแบบสงครามในยุโรป ก็ลงนามการหยุดยิง แต่ฝ่ายทหารไม่สามารถทำอะไรได้เกินกว่านั้น เพราะเป็นอำนาจของฝ่ายการเมือง”
“ทหารบางท่านที่ไปวันนี้ ไม่เคยอยู่สนามรบ ไม่เคยคุมพลรบ ลองคิดดู เห็นคนเจ็บคนตาย ลูกน้องตัวเอง ทั้งพลรบ และประชาชน แล้วพรุ่งนี้ไปลงนามหยุดยิง ความรู้สึกจะเป็นอย่างไร”
อาจารย์สุรชาติ ย้ำด้วยว่า สิ่งที่ตกหายไปจากเวทีเจรจาที่ปุตราจารยา มาเลเซีย คือ คณะกรรมการติดตามการหยุดยิง หรือ Monitoring Team เป็นเรื่องใหญ่กว่า แต่กลับไม่มีการพูดถึง ทั้งที่จะทำให้การหยุดยิงน่าจะมีผลได้จริงๆ
“ยูเอ็นเข้าไปหย่าศึก มีคณะทำงานเข้าไปมอนิเตอร์ ฉะนั้นต่างฝ่ายต่างก็กล่าวหากัน วันนี้ทางกัมพูชากล่าวหาไทยใช้แก๊สพิษ เราไม่ได้มีศักยภาพที่จะทำขนาดนั้น อย่าไปสร้างจินตนาการ แต่ก็มีการกล่าวหากัน นี่คือตัวอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต หากไม่มี Monitoring Team จะไม่มีกลไกลเข้ามาจัดการ”
“ต้องมีชาติที่เป็นกลางเข้ามา ถ้าปรากฏในพื้นที่มีปัญหาการปะทะ จะมีปัญหาบานปลาย มันจึงเปราะบางบนเงื่อนไขการไม่มีคณะกรรมการควบคุมการหยุดยิง”
อาจารย์สุรชาติ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า จากปัญหาทั้งสองประการที่กล่าวมา ทำให้ข้อตกลงหยุดยิงยังเปราะบางมาก ขณะนี้ยังไม่มีการพูดเรื่องเส้นเขตแดน และแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะต่อไปใดๆ ทั้งสิ้น ฉะนั้นการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ในวันที่ 4 ส.ค. จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องตามกันต่อไป
