
อนุสนธิจากสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา แม้ฝ่ายกองทัพไทยจะได้เปรียบด้านกำลังทหาร และความทันสมัยของยุทโธปกรณ์ กระทั่งสามารถยึดพื้นที่ที่เป็น “จุดยุทธศาสตร์” ตามแนวชายแดนทางบกกลับคืนมาจากกัมพูชาได้ทั้งหมด
และล่าสุดกำลังเข้าสู่โหมดเจรจา ซึ่งฝ่ายไทยไม่น่าจะเสียเปรียบเหมือนครั้งก่อนๆ
แต่ปรากฏการณ์ที่ต้องบันทึกไว้เป็นบทเรียนของความขัดแย้งในบริบทของการสู้รบก็คือ การเผชิญกับสงครามใหม่อย่าง “สงครามโดรน” ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย หรือประเทศในภูมิภาคแถบนี้
เพราะข่าวใหญ่ๆ ความเคลื่อนไหวหลักๆ มาจากสงคราม รัสเซีย กับ ยูเครน

แต่วันนี้ต้องยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่า ไทยกำลังเผชิญกับ “สงครามโดรน” จากกัมพูชา และเจอโจทย์ยากกว่ารัฐบาลทหารเมียนมา ต้องต่อกรกับ “โดรนดัดแปลง” ที่กองกำลังฝ่ายต่อต้านใช้สู้กับกองทัพ
จุดร่วมของ “สงครามโดรน” จาก 2-3 พื้นที่ขัดแย้ง คือ รัสเซียกับยูเครน, เมียนมากับกองกำลังฝ่ายต่อต้าน หรือรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) และกัมพูชากับไทย คือ ความเป็น “สงครามอสมมาตร” ซึ่งมีนิยามของความไม่เท่าเทียมกันของกำลังรบทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งมีพลังอำนาจทางทหารต่ำกว่าอีกฝ่ายหนึ่งมาก
และ “โดรน” คือคำตอบของการต่อสู้จากฝ่ายที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะ “โดรนแสวงเครื่อง” ที่ผลิตขึ้นเอง
ล่าสุดข่าว “กองทัพโดรน” ยังหลอนไทยไม่เลิก แม้สถานการณ์กำลังเข้าสู่โหมดเจรจา เพราะเกิดกรณี “ฝูงโดรน 40 ลำ” บินป่วนเขตพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นสนามบินแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดของไทย และใหญ่ติดอันดับโลก
แม้ไม่มีหน่วยงานใดยืนยันว่า เหตุการณ์นี้กระทบกับความมั่นคงหนักหนาสาหัสขนาดไหน และเป็นฝีมือของฝ่ายใดแน่ แต่การนำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุม สมช.เป็นการด่วน ย่อมสะท้อนถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ได้ระดับหนึ่ง

สอดรับกับข้อมูลเกี่ยวกับ “สงครามโดรน” ที่กัมพูชานำมาใช้ต่อกรกับไทย ก่อนหน้านี้มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ “กลุ่มนักรบต่างชาติ” ที่อาจเข้ามายกระดับการรบของกัมพูชา โดยเฉพาะการทำสงคราม “โดรนสังหาร” ที่เรียกว่า “กามิกาเซ่ โดรน” ซึ่งหมายถึงโดรนแสวงเครื่อง ติดระเบิด และใช้โจมตีด้วยการพุ่งชน
ซ้ำร้าย “โดรนสังหาร” ที่ตรวจพบ ยังใช้ระบบ FPV ซึ่งย่อมาจาก First-Person View หรือมุมมองบุคคลที่ 1 หมายความว่า โดรนจะมีการติดกล้องคุณภาพสูง และผู้บังคับโดรนจะสามารถรับสัญญาณภาพสดๆ จากกล้อง บังคับโดรนให้โจมตีไปเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ซึ่ง “ผู้บังคับโดรน” ต้องมีทักษะสูง และผ่านการฝึก
ยิ่งไปกว่านั้นยังเจอ “โดรนดัดแปลง” เป็นระเบิดแสวงเครื่อง กระทั่งกองทัพภาคที่ 2 ต้องออกมาแจ้งเตือนอย่างจริงจัง
@@ จากชายแดนใต้ ถึงชายแดนกัมพูชา
ข่าวการใช้ “โดรนแสวงเครื่อง” ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีสงครามความไม่สงบยืดเยื้อมากว่า 20 ปี และระยะหลังเริ่มมีข่าวการใช้ “โดรน” ในลักษณะ “โดรนบินสำรวจ” บินสอดส่องถือถ่ายภาพฐานปฏิบัติการของทหาร ตำรวจ
แต่ข่าว “โดรนแสวงเครื่อง” ที่พบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไปไกลกว่า ร้ายแรงและน่ากลัวกว่าชายแดนใต้ของไทย
เพราะนอกจากจะมีการดัดแปลง “โดรนเชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก” ให้เป็นอาวุธ คือติดระเบิดเป็น “โดรนทิ้งระเบิด” แล้ว ยังดัดแปลงตัวโดรนให้เป็นระเบิดแสวงเครื่องในตัวเอง โดยสามารถทำงานได้หลายรูปแบบ
@@ “โดรนแสวงเครื่อง”ไม่ธรรมดา! ใช้ระบบไฟฟ้าสถิต

1. การทำงานจากแรงกระทบ ซึ่งเป็นรูปแบบพื้นฐาน
- วัตถุระเบิดถูกตั้งค่าให้ระเบิดทันที ใช้เพื่อทำลายเป้าหมายทันทีที่ตกถึงพื้น หรือทำให้เกิดระเบิดเมื่อมีผู้ไปสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ (กองทัพภาคที่ 2 จึงแจ้งเตือนประชาชน เจอโดรนห้ามไปจับ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่เท่านั้น)
2. สั่งระเบิดจากระยะไกล โดยใช้วิทยุสื่อสาร โทรศัพท์มือถือ หรือสัญญาณดาวเทียม เพื่อสั่งการระเบิดจากผู้ควบคุม
- ใช้ควบคุมการระเบิด เช่น ขบวนรถ กำลังพล หรือแม้แต่บุคคล วิธีสั่งระเบิดคล้ายๆ กับที่ใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
3. ระบบไฟฟ้าสถิต ใช้เซ็นเซอร์ที่ละเอียดอ่อนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เมื่อเกิดการสั่นสะเทือน หรือมีอะไรมากระทบเพียงเล็กน้อย ก็จะระเบิด เช่น
- การตรวจจับสนามแม่เหล็กคลื่นความร้อน
- จับสัญญาณไฟฟ้าสถิต หรือการสั่นสะเทือนบนพื้น
- ทำให้ระเบิดทำงานเมื่อมีสิ่งมีชีวิตหรือยานพาหนะขนาดใหญ่เข้าใกล้ โดยไม่จำเป็นต้องรสัมผัสโดยตรง
พูดง่ายๆ คือไม่ต้องแตะระเบิด แค่พื้นสะเทือนใกล้ๆ ระเบิดก็ทำงานแล้ว
4. ระเบิดแบบหน่วงเวลา ตั้งเวลาให้ระเบิดทำงาน
- ใช้ในการก่อกวนพื้นที่ หรือป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ EOD เข้าจัดการได้ทันทีหลังโดรนตกลงสู่พื้น
@@ ประเมินความเป็นไปได้ กลุ่มป่วนใต้พัฒนาโดรน
ความน่ากลัวของ “โดรนแสวงเครื่อง” ที่พบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ถูกมองอย่างกังวลว่า อาจถูกนำมาพัฒนาโดรนที่ใช้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เหมือนกัน
หากเป็นจริงก็จะทำให้ “กลุ่มป่วนใต้” มีเขี้ยวเล็บน่ากลัวขึ้นมากทีเดียว
แหล่งข่าวจากหน่วยทำลายวัตถุระเบิดในพื้นที่ ให้ข้อมูลว่า ถ้ากลุ่มป่วนใต้นำ “โดรนแสวงเครื่อง” ที่ได้รับการพัฒนา มาใช้ในพื้นที่ ก็ต้องถือว่าฝ่ายความมั่นคงเจอศึกหนักแน่ แต่ส่วนตัวยังเชื่อว่ากว่าจะพัฒนาโดรนไปถึงระดับนั้นได้ น่าจะใช้เวลาอีกนานพอสมควร
“การใช้โดรนแบบที่ว่านี้ น่าจะเหมาะกับการสู้รบแบบเปิดหน้าอย่างเต็มระบบ อีกทั้งน่าจะใช้งบประมาณสูง หากจะนำมาทำเป็นโดรนสังหาร พุ่งชนแล้วระเบิดทั้งตัวโดรนไปด้วย” แหล่งข่าวจากหน่วยทำลายวัตถุระเบิด ตั้งข้อสังเกต
“ความเป็นไปได้น่าจะก็เป็นพวกโดรนหย่อนลูกระเบิดใส่เป้าหมายมากกว่า” เขาสรุป
แหล่งข่าวซึ่งทำงานและร่วมตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิดแบบแสวงเครื่องที่กลุ่มป่วนใต้ใช้มานานกว่า 2 ทศวรรษ เผยว่า การทำงานของโดรนติดระเบิดที่วางระบบการทำงานที่ซับซ้อน อย่างเช่น ใช้การตรวจจับความร้อน หรือใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการสั่นสะเทือน ถือเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงกว่าปกติซึ่งไม่น่าจะมีการนำมาใช้ในพื้นที่ชายแดนใต้ได้ง่ายนัก
เพราะระบบการทำงานของระเบิดแสวงเครื่องที่มีใช้อยู่ในพื้นที่ ยังเป็นระบบที่ง่ายที่สุด ซับซ้อนน้อยที่สุด แค่ตั้งเวลา หน่วงเวลา, กด-เลิกกด ดึง-เลิกดึง ยังไม่เคยพบการใช้เซ็นเซอร์หรือระบบที่ซับซ้อนมาใช้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
“หลายปีก่อน ในตะวันออกกลางมีระบบจุดระเบิดที่ซับซ้อน ใช้เซ็นเซอร์จับความถี่เสียงต่างๆ มาใช้ในการจุดระเบิด เพื่อแยกแยะและระบุเป้าหมาย แต่ผ่านมาหลายปี กลุ่มผู้ก่อเหตุในภาคใต้ก็นำมาใช้ได้แค่การจุดระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือ วิทยุสื่อสาร ตั้งเวลา และวงจรหน่วงเวลา ซึ่งก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก และใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน” แหล่งข่าวระบุ
