
“…แม้ผู้ถูกร้องลงลายมือชื่อเพียงประการเดียวโดยไม่ได้เขียนข้อความ แต่การลงลายมือชื่อในเอกสารราชการนั้น ย่อมต้องพิจารณาข้อความของเอกสารก่อน ประกอบกับผู้ถูกร้องมีตำแหน่งเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วตั้งแต่ปี 2566 ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าการลงลายมือชื่อในเอกสารหมายความว่าเห็นด้วยกับข้อความในเอกสาร หากไม่เห็นด้วย ย่อมต้องสั่งให้มีการแก้ไข ดังนั้น การลงลายมือชื่อแม้ไม่ใช่ผู้เขียนข้อความย่อมหมายความว่าเห็นด้วยกับเอกสารดังกล่าว…”
หมายเหตุ : สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดเชียงราย เขต 7 พรรคเพื่อไทย (พท.) และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สิ้นสุดสมาชิกภาพความเป็น สส. สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม นับแต่วันที่มีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งมีกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่มีคำวินิจฉัย
สืบเนื่องจากกรณีนายภัณฑิล น่วมเจิม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) รวม 121 คน เสนอความเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 3 โครงการ มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือ กรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรง หรือ ทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง
สำหรับ 3 โครงการ ดังกล่าว ประกอบด้วย 1.โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน และประชาชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตย (โครงการเยาวชน) 2.โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วม ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (โครงการประชาชน) และ 3. โครงการส่งเสริมบทบาทของสตรีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข (โครงการสตรี)

สำนักข่าวอิศรา ได้นำเสนอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม กรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน แปรญัตติงบปี 69 ลงพื้นที่ตัวเอง ตอนแรกไปแล้วในตอนที่แล้ว ในส่วนนี้จะเป็น ตอนที่สอง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาใน 3 ประเด็นให้เห็นว่า นายพิเชษฐ์ มีพฤติการณ์เข้าไปมีส่วนร่วมกับโครงการทั้งสามอย่างไร
อ่านประกอบ : เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม (1) ‘พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน’ แปรญัตติงบปี 69 ลงพื้นที่ตัวเอง
@ ฟังได้ว่าผู้ถูกร้องเห็นชอบให้แปรญัตติโครงการทั้งสาม
ประเด็นที่หนึ่ง ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ในโครงการทั้งสาม หรือไม่
ข้อพิจารณาประการแรก มีว่า ผู้ถูกร้องเป็นผู้สั่งการให้เสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณหรือคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของโครงการทั้งสาม หรือไม่
ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ในการเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ผู้ถูกร้องมอบหมายให้ นายจีรพงศ์ วัฒนะรัตน์ ที่ปรึกษาคณะทำงานทางการเมืองของรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง (ตำแหน่งผู้ถูกร้องในขณะนั้น) ดำเนินการจัดทำโครงการ และผู้ถูกร้อง ลงนามให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการทั้งสาม เมื่อมีการเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในชั้นการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีมีการปรับลดวงเงินงบประมาณ ผู้ถูกร้องลงนามให้เสนอคำแปรญัตติ
ผู้ถูกร้องชี้แจงว่า ผู้ถูกร้องไม่เคยสั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดทำโครงการเพื่อเสนองบประมาณ หรือแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ผู้ถูกร้องเพียงมอบนโยบายให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งผู้ถูกร้องลงนามในบันทึกข้อความแต่ไม่ได้เขียนข้อความว่า ‘ให้เสนอคำแปรญัตติ’ และไม่ได้ประทับตราคำว่า ‘เห็นชอบ’ แต่เป็นบุคคลอื่นเขียนข้อความและประทับตราดังกล่าว
พยานบุคคล นายจีรพงศ์ วัฒนะรัตน์ เบิกความว่า ผู้ถูกร้องมีดำริให้ดำเนินโครงการทั้งสาม โดยมอบหมายให้ตนเองเป็นผู้ดำเนินการ เจือสมกับคำเบิกความของ นายธีรวัฒน์ เอื้อพอพล และ นายนาถะ ดวงวิชัย เบิกความสอดคล้องกันว่า ในการเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรหารือกับผู้ถูกร้องก่อนเสนอหรือแปรญัตติโครงการทั้งสาม ซึ่งผู้ถูกร้องมีดำริให้เสนอและแปรญัตติ สำหรับการเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
นายวรพงษ์ แพรม่วง นายธีรวัฒน์ เอื้อพอพล และ นายนาถะ ดวงวิชัย เบิกความสอดคล้องกันว่า ปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สอบถามไปยังผู้ถูกร้องว่าประสงค์จะดำเนินโครงการทั้งสามดังกล่าวต่อเนื่องหรือไม่ และผู้ถูกร้องมีดำริให้ดำเนินโครงการทั้งสามต่อ
นายธีรวัฒน์ เอื้อพอพล เบิกความยอมรับว่า การเสนอบันทึกข้อความกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ตนเขียนข้อความว่า ‘ให้เสนอคำแปรญัตติ’ หลังจากที่ได้รับดำริจากผู้ถูกร้องให้เสนอคำแปรญัตติแล้ว

ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เบิกความว่า กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเสนอคำของบประมาณและเสนอคำขอแปรญัตติต่อผู้ถูกร้องเพื่อให้ความเห็นชอบก็ได้
โดยกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สามารถส่งคำของบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณแต่ละโครงการไปยังสำนักนโยบายและแผนเพื่อรวบรวมของทุกส่วนราชการภายในและเสนอเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบ ก่อนเสนอประธานรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนาม และส่งไปยังสำนักงบประมาณต่อไป ซึ่งกลุ่มงานอื่น ๆ ก็สามารถขอแปรญัตติได้เอง เป็นเรื่องปกติตามวิธีการเสนอของบประมาณ
พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามบันทึกข้อความกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 (เอกสารหมาย ศ 7/1) เกี่ยวกับการเสนอคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของโครงการทั้งสาม ปรากฏข้อความที่เขียนด้วยลายมืออยู่เหนือลายมือชื่อของผู้ถูกร้อง สอดคล้องกับ บันทึกข้อความกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ลงวันที่ เดือนธันวาคม 2567 (เอกสารหมาย ศ 20/1) เกี่ยวกับคำขอตั้งงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของโครงการทั้งสาม เอกสารทั้งสองฉบับมีลายมือของข้อความที่แตกต่างกัน ประกอบกับ นายธีรวัฒน์ เอื้อพอพล เบิกความว่า ตนเป็นคนเขียนข้อความลงในบันทึกข้อความกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 (เอกสารหมาย ศ 7/1)
รับฟังได้ว่า แม้ผู้ถูกร้องลงลายมือชื่อเพียงประการเดียวโดยไม่ได้เขียนข้อความ แต่การลงลายมือชื่อในเอกสารราชการนั้น ย่อมต้องพิจารณาข้อความของเอกสารก่อน ประกอบกับผู้ถูกร้องมีตำแหน่งเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วตั้งแต่ปี 2566 ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าการลงลายมือชื่อในเอกสารหมายความว่าเห็นด้วยกับข้อความในเอกสาร หากไม่เห็นด้วย ย่อมต้องสั่งให้มีการแก้ไข ดังนั้น การลงลายมือชื่อแม้ไม่ใช่ผู้เขียนข้อความย่อมหมายความว่าเห็นด้วยกับเอกสารดังกล่าว
ประกอบกับ นายธีรวัฒน์ เอื้อพอพล และ นายนาถะ ดวงวิชัยเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า เอกสารดังกล่าวเป็นไปตามที่ได้หารือกับผู้ถูกร้องก่อนแล้ว อีกทั้ง นายวรพงษ์แพรม่วง เบิกความว่า เจ้าหน้าที่ของกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง เสนอเอกสาร ตามลำดับสายการบังคับบัญชาโดยยังไม่มีข้อความดังกล่าว แต่หน่วยธุรการจะรับเอกสารไปเสนอต่อผู้ถูกร้อง อีกชั้นหนึ่ง ส่วนกรณีที่ไม่ปรากฏการออกเลขหนังสือในเอกสารดังกล่าวตามระบบราชการเป็นเพียงข้อบกพร่องหรือแนวทางการปฏิบัติงานภายในของกลุ่มงานหรือสำนักนั้น ไม่มีผลทำให้เอกสารไม่สมบูรณ์ จึงฟังได้ว่าผู้ถูกร้องเห็นชอบให้แปรญัตติโครงการทั้งสาม
@ มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับโครงการทั้งสาม
ข้อพิจารณาประการที่สอง มีว่า มีการกระทำหรือพฤติการณ์ที่ผู้ถูกร้องเกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรม ตามโครงการทั้งสาม หรือไม่
ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า หลังจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 บังคับใช้ การดำเนินการของโครงการทั้งสามประธานสภาผู้แทนราษฎรมีคำสั่งลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการในแต่ละโครงการ ได้แก่ (1) คณะกรรมการบริหารโครงการเยาวชน ตามคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 77/2567 (2) คณะกรรมการบริหารโครงการประชาชน ตามคำสั่ง สภาผู้แทนราษฎรที่ 78/2567 และ (3) คณะกรรมการบริหารโครงการสตรี ตามคำสั่ง สภาผู้แทนราษฎรที่ 79/2567 เพื่อให้สามารถบริหารจัดการโครงการสัมมนาตามหน้าที่และอำนาจพิจารณาดำเนินการจัดโครงการ กำกับ ดูแล พิจารณาบริหารจัดการคำขอของแต่ละพื้นที่ที่ยื่นความประสงค์ ขอให้จัดโครงการสัมมนา โดยผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษาและกรรมการตามคำสั่งแต่งตั้งของโครงการทั้งสาม
การจัดกิจกรรมของโครงการทั้งสามคณะกรรมการบริหารโครงการจะพิจารณาจากคำขอรับความอนุเคราะห์ อีกทั้งพิจารณาความพร้อมของเจ้าหน้าที่และสถานที่ในการจัดกิจกรรม โดยประชาชนยื่นคำขอในการจัดกิจกรรมต่อผู้ถูกร้องเพื่อให้ผู้ถูกร้องเสนอคำขอจัดกิจกรรมดังกล่าวต่อคณะกรรมการบริหารโครงการแต่ละโครงการ เพื่อพิจารณาคัดเลือก รวมจำนวนคำขอจัดโครงการ 440 คำขอ มีคำขอจัดโครงการถึง 298 คำขอที่เป็นคำขอจัดโครงการในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 อันเป็นพื้นที่ในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง และการจัดกิจกรรมโครงการทั้งสามในเบื้องต้นกำหนดจัดกิจกรรมในพื้นที่นำร่อง ณ จังหวัดเชียงราย
ผู้ถูกร้องชี้แจงว่า การดำเนินการในโครงการทั้งสามเป็นการดำเนินการโดยคณะกรรมการบริหารโครงการตามคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 77/2567 คำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 78/2567 และคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรที่ 79/2567 ที่ผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษาและกรรมการ แต่ผู้ถูกร้องมิได้เข้าไปมีส่วนโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อที่ผู้ถูกร้องจะได้นำงบประมาณไปใช้ประโยชน์ในการหาเสียงหรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเอง ในเขตเลือกตั้งตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง
อีกทั้งการดำเนินโครงการใด ๆ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้ง ผู้ถูกร้องไม่ได้มีอำนาจให้ความเห็นชอบเข้าไปสั่งการหรือมีส่วนร่วมในการพิจารณาคำขอให้มีการดำเนินการตามโครงการต่าง ๆ ลงไปในพื้นที่ใด ๆ หรือในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้องเพื่อสร้างความนิยมให้แก่ตนเอง การประชาสัมพันธ์โครงการเป็นเรื่องของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่มีหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในหลายช่องทาง โดยเฉพาะสื่อของสภาผู้แทนราษฎรที่กระจายข่าวไปทั่วประเทศโดยไม่เจาะจงพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง

@ นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคประชาชน ผู้ร้อง (คนลุกขึ้นยืน) @
สำหรับการดำเนินกิจกรรมที่จัดขึ้นจริง โครงการประชาชนดำเนินการไปแล้ว จำนวน 9 ครั้ง โดยจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย จำนวน 1 ครั้ง จังหวัดอื่น ๆ จังหวัดละ 1-5 ครั้ง โครงการเยาวชนดำเนินการไปแล้ว จำนวน 9 ครั้ง โดยจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย จำนวน 2 ครั้ง จังหวัดอื่น ๆ จังหวัดละ 1-2 ครั้ง และโครงการสตรี ดำเนินการไปแล้ว จำนวน 1 ครั้ง ที่จังหวัดเชียงราย
พยานบุคคล นายวรพงษ์ แพรม่วง นายธีรวัฒน์ เอื้อพอพล และ นายนาถะ ดวงวิชัย เบิกความสอดคล้องกันว่า วิธีการคัดเลือกพื้นที่จัดกิจกรรมของผู้เข้าร่วมโครงการพิจารณาจากคำขอ ความพร้อมด้านเวลา และข้อจำกัดด้านบุคลากรของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร การจัดกิจกรรมตามโครงการทั้งสามในเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย เนื่องจากมีเหตุผลด้านความคุ้มค่า โดยการรวบรวมคำขอเข้าร่วมโครงการหลายคำขอมาจัดสัมมนาในคราวเดียวกันและกำหนดแบ่งเป็นแต่ละรุ่น เพราะเจ้าหน้าที่มีจำนวนไม่เพียงพอต่อการจัดโครงการทั้งหมดตามคำขอและมีเวลาที่จะดำเนินการ ได้เฉพาะในช่วงวันหยุดราชการ วันเสาร์และวันอาทิตย์
ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เบิกความว่า ผู้ถูกร้องดำริให้จัดโครงการทั้งสามทั่วประเทศ กระจายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ โดยให้ประชาชนในท้องที่หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือกรรมาธิการยื่นคำขอให้สภาผู้แทนราษฎรไปจัดกิจกรรมตามโครงการทั้งสาม
นายนาถะ ดวงวิชัย เบิกความว่า การจัดสัมมนาโครงการประชาชนที่กรุงเทพมหานครมาจากคำขอผ่านทางคณะกรรมาธิการกิจการสภา
นางวรรณฤทัย สงวนรักษ์ เบิกความว่า การเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ของรัฐสภาที่รวบรวมมายังสำนักนโยบายและแผนเป็นขั้นตอนเพื่อให้วิเคราะห์วัตถุประสงค์และสอดคล้องกับภารกิจของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งการเสนอโครงการทั้งสามในชั้นการของบประมาณยังไม่จำเป็นต้องจัดทำแผนการใช้งบประมาณหรือแผนการดำเนินงานโดยละเอียด เพียงระบุข้อมูลกิจกรรมที่คาดว่า จะดำเนินการโดยย่อ เช่น ระบุว่าจะจัดใน 5 ภูมิภาคทั่วประเทศก็เพียงพอ เพราะงบประมาณ ตามคำขออาจแตกต่างจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ซึ่งส่วนราชการ จะต้องทบทวนโครงการเพื่อวางแผนดำเนินการในรายละเอียดให้สอดคล้องกับงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจริง
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คำขอความอนุเคราะห์จัดโครงการทั้งสามพิจารณาคัดเลือกโดยคณะกรรมการบริหารโครงการที่มีผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษาและกรรมการ และการดำเนินโครงการทั้งสามจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดอื่น ประกอบกับตามบันทึกการประชุมระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 (เอกสารหมาย ศ 11/13 ถึง ศ 11/14) ผู้ถูกร้องเข้าร่วมประชุม และปรากฏข้อความในการประชุมเกี่ยวกับโครงการสตรีว่า
“สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินการในเบื้องต้นได้กำหนดจัดกิจกรรมในพื้นที่นำร่อง ณ จังหวัดเชียงราย ในช่วงกลางเดือนมกราคม 2568 โดยกิจกรรมอื่น ๆ อยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษารูปแบบและรายละเอียดจากคำขอของสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรต่อไป...”
รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง (นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน) กล่าวต่อที่ประชุมว่า “โครงการดังกล่าวเป็นโครงการใหม่ ... โดยมุ่งจัดกิจกรรมตามคำเรียกร้องจากประชาชน ชุมชน โรงเรียน จากพื้นที่ต่าง ๆ โดยประสานงานผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในพื้นที่ต่าง ๆ”
ฟังได้ว่า โครงการทั้งสามเป็นโครงการที่จัดทำขึ้นมาโดยผู้ถูกร้องมีส่วนในการพิจารณาดำเนินโครงการและมุ่งเน้นดำเนินการในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเขตพื้นที่เลือกตั้ง ของผู้ถูกร้อง ทำให้มีพฤติการณ์หรือการกระทำที่ผู้ถูกร้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทั้งสาม
@ โครงการรูปแบบเดียวกัน
ข้อพิจารณาประการที่สามมีว่า โครงการทั้งสามในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จะดำเนินการในรูปแบบเดียวกันกับโครงการในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 หรือไม่
ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎรได้จัดทำคำของบประมาณในโครงการที่มีลักษณะเดียวกันกับโครงการทั้งสามตามงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
ผู้ถูกร้องชี้แจงว่า การทำคำขอเสนอโครงการทั้งสามในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้จัดทำคำของบประมาณในลักษณะเดียวกันกับโครงการตามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
พยานบุคคล นางวรรณฤทัย สงวนรักษ์ เบิกความว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ส่วนราชการภายในเริ่มพิจารณาเสนอตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 และดำเนินการ ส่งสำนักนโยบายและแผนภายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 เพื่อรวบรวมเสนอสำนักงบประมาณ ภายในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 ส่วนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ส่วนราชการภายในเริ่มพิจารณาเสนอตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 และดำเนินการส่งสำนักนโยบายและแผน ภายในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เพื่อรวบรวมเสนอสำนักงบประมาณภายในเดือนมกราคม พ.ศ. 2568
ทั้งนี้ ตามกรอบปฏิทินงบประมาณ โครงการทั้งสามที่เสนอในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เพื่อความต่อเนื่องสำหรับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ เป็นหน้าที่ของส่วนราชการภายในผู้รับผิดชอบโครงการพิจารณาประเมินผลหรือสำรวจความพึงพอใจ ของผู้เข้าร่วมโครงการ
นายวรพงษ์ แพรม่วง นายธีรวัฒน์ เอื้อพอพล และ นายนาถะ ดวงวิชัย เบิกความ สอดคล้องกันว่า กระบวนการเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของโครงการทั้งสามในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ไม่มีความแตกต่างในสาระสำคัญ จากโครงการในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เนื่องจากเป็นโครงการต่อเนื่อง ตามดำริของผู้ถูกร้อง โดยโครงการทั้งสามที่เสนอในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ยังคงมีหลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ ระยะเวลาดำเนินโครงการ เป้าหมาย ผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบของโครงการ แผนการปฏิบัติงาน แผนใช้จ่ายงบประมาณ
รวมถึงรูปแบบของ การจัดกิจกรรมต่าง ๆ รายละเอียดงบประมาณ และรายการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เหมือนกับโครงการทั้งสาม ที่เสนอในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีเพียงแต่การแก้ไขจำนวนวงเงินงบประมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น และแก้ไขรายละเอียดย่อยของกิจกรรม โดยตัดคำว่า “สัมมนา” และ “อบรม” ออก เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและความหลากหลายของกิจกรรม
นอกจากนี้ นายกุลพล วัชรกาฬ เบิกความว่า ก่อนที่จะเป็นโครงการทั้งสามนั้น กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง เสนอโครงการ จำนวน 4 โครงการ สำนักนโยบายและแผนมีข้อหารือเกี่ยวกับทั้งสี่โครงการมายังสำนักกฎหมาย และสำนักกฎหมายมีความเห็นว่า โครงการทั้งสี่มีลักษณะเป็นการให้ทุนที่จัดทำมิได้

ส่วนที่ให้ความเห็นว่าโครงการทั้งสี่สุ่มเสี่ยงที่จะฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เป็นเพียงข้อสังเกตเผื่อไว้ในกรณีที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ดำเนินการตามโครงการเอง โดยมิใช่การให้ความเห็นในข้อหารือโดยตรง เนื่องจากโครงการทั้งสี่ ริเริ่มมาจากกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง และป้องกันมิให้เกิดเหตุในภายหน้า หลังจากนั้น มีการปรับโครงการทั้งสี่เป็นโครงการทั้งสามที่มีรูปแบบเป็นการจัดสัมมนาอบรม
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามคำร้องปรากฏเอกสารคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของโครงการทั้งสาม ข้อ 2.10 แผนงบประมาณ และกิจกรรมดำเนินงาน ปรากฏตาราง คอลัมน์ ปี 2568 ปี 2569 และปี 2570 ซึ่งในคอลัมน์ ปี 2568 ระบุจำนวนเงิน ส่วนคอลัมน์ ปี 2569 และปี 2570 ไม่ระบุจำนวนเงิน แสดงให้เห็นว่า โครงการทั้งสาม มีวัตถุประสงค์จัดทำขึ้นมาเป็นโครงการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2570 แม้คำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โครงการทั้งสามจะไม่ได้ระบุพื้นที่ที่คาดว่าจะดำเนินกิจกรรม แต่จากการเบิกความของพยานดังกล่าว ประกอบกับบันทึกคำเบิกความพยานที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ถูกร้องมิได้หักล้างให้เป็นอย่างอื่นทั้งยังยอมรับเช่นเดียวกัน
ฟังได้ว่า รูปแบบการดำเนินกิจกรรม ของโครงการทั้งสามในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จะดำเนินการในรูปแบบเดียวกันกับปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในลักษณะทำนองเดียวกันกับโครงการต่อเนื่อง ซึ่งหมายความรวมถึงพื้นที่ที่จะดำเนินกิจกรรมเช่นเดียวกันด้วย
ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้จากข้อพิจารณาทั้งสามประการดังกล่าว ในประเด็นที่หนึ่งมีน้ำหนักรับฟัง สอดคล้องกันว่า ผู้ถูกร้องเห็นชอบให้อนุมัติสั่งการให้เสนอหรือแปรญัตติโครงการทั้งสาม ซึ่งเป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือผู้เกี่ยวข้องมีส่วนในการดำเนินการที่นำไปสู่การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการโดยมุ่งเน้นดำเนินการในเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเขตพื้นที่เลือกตั้งของผู้ถูกร้อง รูปแบบการดำเนินกิจกรรมของโครงการทั้งสามในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2569 จะดำเนินการในรูปแบบเดียวกันกับปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในลักษณะทำนองเดียวกันกับโครงการต่อเนื่อง ทำให้มีพฤติการณ์หรือการกระทำที่ผู้ถูกร้อง มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทั้งสาม
อ่านข่าวประกอบ :
- ศาลรธน.สั่ง 'พิเชษฐ์' สิ้นสุดสภาพสส.-ตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี เจตนาแปรงบฯลงพื้นที่
- ชำแหละ 3 โครงการส่งเสริม ปชต. จุดตาย ‘พิเชษฐ์’ พ้น สส.- ตัดสิทธิรับเลือกตั้ง 10 ปี(1)
- ชำแหละ 3 โครงการส่งเสริม ปชต. จุดตาย ‘พิเชษฐ์’ พ้น สส.- ตัดสิทธิรับเลือกตั้ง 10 ปี (จบ)
