
"...เห็นควรออกคำสั่งทางปกครองให้ผู้ปกครองรายดังกล่าวมาชำระค่าปรับเต็มจำนวน และปรับเป็นรายวันอีกวันละไม่น้อยกว่า 500 บาท จนกว่าจะมีการแก้ไขแล้วเสร็จและแจ้งสถานีตำรวจภูธรน้ำยืนรับทราบเกี่ยวกับคดีอาญา ฯลฯ และเทศบาลตำบลสีวิเชียรได้มีหนังสือแจ้งให้บริษัท ฯ คืนสภาพทางสาธารณประโยชน์ที่ได้ทำการขุดไปแล้วให้มีการถมดินเพื่อคืนสภาพเดิม..."
กรณีเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มีความล่าช้าในการสอบสวนคดีบริษัทครอบครัว น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ขุดบ่อน้ำบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ จนคดีใกล้จะหมดอายุความ
ขณะที่ ดีเอสไอ ได้เผยแพร่ข่าวยืนยันส่งสำนวนกรณีกล่าวหานายทุนบุกรุกที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ "หาดสวนยา” อำเภอน้ำยืน อุบลราชธานี ให้อัยการแล้ว พร้อมขยายผลตรวจสอบเพิ่มเติมนิติบุคคลและเจ้าหน้าที่รัฐ มีความคืบหน้าเป็นลำดับ แจ้งข้อกล่าวหากับผู้แทนนิติบุคคล ออกหมายเรียกกรรมการผู้มีอำนาจมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว แต่มีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมโดยอ้างพยานบุคคลหลายราย อยู่ระหว่างการสอบสวนตามประเด็นที่มีการร้องขอความเป็นธรรม
ในตอนที่แล้ว สำนักข่าวอิศรา นำรายละเอียดข้อมูลเชิงลึกการสอบสวนคดีนี้ มาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว คดีนี้ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 สำนวน โดย ดีเอสไอ ได้รับเรื่องสอบสวนเป็นคดีพิเศษที่ 154/2562 ได้สรุปสำนวน การสอบสวนและมีความเห็นควรสั่งฟ้อง นายธรรมรงณ์ ทองแดง ผู้ต้องหา ซึ่งเป็นผู้ยึดถือครอบครอง สาธารณประโยชน์ “หาดสวนยา” บ่อกักเก็บน้ำบ่อที่ 1 เนื้อที่ 10-1-37.7 ไร่ ผู้ต้องหาหลบหนีถูกออกหมายจับ และส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 สำหรับผู้ถูกกล่าวหารายอื่น คือ บริษัทแป้งมันเอี่ยมอีสานอุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งมี น.ส.สุดาวรรณ และคนในครอบครัวถือหุ้นในฐานะผู้ซื้อที่ดินจาก นายธรรมรงณ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ให้แยกทำการสอบสวนเป็นอีกคดี คดีพิเศษที่ 119/2566 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อมูล ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อประกอบการไต่สวนเบื้องต้น กรณี นายกเทศมนตรีตำบลสีวิเชียร กับพวกถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีปล่อยปละละเลยให้บริษัทเอกชนบุกรุก ทำลายที่ดิน และทางสาธารณประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย (ดูรายละเอียดใน อินโฟกราฟิกประกอบ)


- รมต.รบ.แพทองธาร ถือหุ้น! กังขา DSI สอบคดีบิ๊กเอกชนขุดบ่อน้ำรุกที่สาธารณะอุบลฯ ล่าช้า
- ป.ป.ช.ยันคืนสำนวนคดีบิ๊กเอกชนขุดบ่อรุกที่สาธารณะให้ DSI ปี 62 - รมต.ไม่ได้ถือหุ้นแล้ว
- ‘ศุภชัย’เปิดชื่อ'สุดาวรรณ' โวยDSI ดองคดี บ.ครอบครัว'รมต.’ ขุดบ่อรุกที่สาธารณะใกล้หมดอายุ
- ไม่ดองคดี! DSI ยันส่งสำนวนกล่าวหากรณีนายทุนรุกที่ทำเลเลี้ยงสัตว์อุบลฯ ให้อัยการแล้ว
- ศุภชัย ใจสมุทร: คดีบริษัท รมต.อว.รุกที่สาธารณะ DSI อาจเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่
- กลัวกระทบบริษัท! 'สุดาวรรณ' ขอไม่ตอบ DSI สอบคดีธุรกิจครอบครัวขุดบ่อรุกที่สาธารณะ
- ผู้ต้องหาหนี! DSI แจงสอบคดีบ.ครอบครัวรมต.รุกที่-แยกสำนวนนายกเทศฯ สีวิเชียร-พวก เพิ่ม
- เจาะ 3 สำนวน DSI สอบคดีขุดบ่อรุกที่สาธารณะอุบลฯ รอแจ้งข้อกล่าวหา 'รมต.อว.’คนในครอบครัว
- โชว์หนังสือDSI ส่งฟ้อง'คนขาย' ที่ดิน 'บ.รมต' คดีขุดบ่ออุบลฯ ครอบครองสาธารณสมบัติแผ่นดิน
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดพฤติการณ์ข้อกล่าวหา บริษัทครอบครัว น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ขุดบ่อน้ำบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ จำนวน 3 บ่อ ที่ดีเอสไอ ได้มีการแยกสำนวน อยู่ระหว่างการสอบสวน รอการแจ้งข้อกล่าว
@ พฤติการณ์ข้อกล่าวหา
จากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของดีเอสไอพบว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุ บริษัทแป้งมันเอี่ยมอีสานอุตสาหกรรม จำกัด ได้ขุดบ่อเก็บกักน้ำในพื้นที่เกิดเหตุ จำนวน 3 บ่อ โดยอ้างเอกสารสิทธิในที่ดิน และที่ดินมือเปล่าซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ
พบการกระทำความผิดตามภาพแผ่นที่และข้อมูล ดังนี้
@ แผ่นที่ภาพถ่ายหลักฐาน
@ บ่อเก็บน้ำบ่อที่ 1
ในการขุดดินถมดินบริเวณบ่อเก็บน้ำบ่อที่ 1 ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของห้วยสาธารณประโยชน์ (ห้วยบอน) และอยู่ด้านทิศตะวันออกของทางสาธารณประโยชน์ เมื่อประมาณ ปี 2554 ผู้ถูกกล่าวหาได้ดำเนินการขุดบ่อเก็บน้ำเพื่อใช้ในกิจการผลิตแป้งมันสำปะหลัง
โดยได้ขุดบ่อกักเก็บน้ำในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ จำนวน 3 แปลง รวมเป็นบ่อเดียวกัน เนื้อที่ประมาณ 48-0-89.4 ไร่
ทั้งนี้ในการขุดบ่อที่ 1 ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของห้วยบอนนี้ ปรากฏว่า บริษัทฯ ได้ทำการขุดบ่อน้ำ และทำคันบ่อเกินเอกสารสิทธิ์ ทั้ง 3 แปลงดังกล่าว โดยรุกล้ำเข้าไปในบริเวณที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่เป็นที่สาธารณประโยชน์"หาดสวยยา" จำนวน 7-2-04 ไร่
โดยในการขุดบ่อครั้งนี้บริษัทผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้มีการยื่นคำขออนุญาตขุดดินถมดิน เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีการประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 ในช่วงเวลาดังกล่าว
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2559 ผู้ถูกกล่าวหา ได้ยื่นคำขออนุญาตขุดดินถมดินในบริเวณบ่อที่ 1 (เพิ่มเติม) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านทิศตะวันตกของทางสาธารณประโยชน์ ขนาดพื้นที่ 21-1-37 ไร่ โดยได้ยื่นคำขอต่อเทศบาลตำบลสีวิเชียร อ้างหลักฐานโฉนดที่ดิน 2 แปลง และเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้อนุญาตให้ขุดดินถมดิน โดยออกใบรับแจ้งการขุดดิน ถมดิน ให้กับผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ปรากฏว่า ได้มีการขุดบ่อน้ำบ่อที่ 1 เพิ่มเติมรวมเป็นบ่อเดียวกันกับบ่อน้ำที่มีการขุดเดิม โดยได้ขุดทางสาธารณประโยชน์ซึ่งอยู่ระหว่างโฉนดที่ดินเลขที่ 3386 และโฉนดที่ดินเลขที่ 11551 หายไปจากสภาพภูมิศาสตร์ ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้สัญจรได้
ต่อมาเทศบาลตำบลสีวิเชียรได้รายงานให้นายอำเภอน้ำยืนในฐานะผู้กำกับดูแลทราบ ซึ่งในระหว่างนั้นเทศบาลตำบลสีวิเชียรได้แต่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามคำสั่งเทศบาลตำบลสีวิเชียรที่ 63/2560 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงพิจารณามีความเห็นว่า
1.) บริษัท ฯ เป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนตามพระราชบัญญัติขุดดินและถมดิน พ.ศ.2543 มาตรา 36 และเป็นการกระทำความผิดตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช่ร่วมกัน พ.ศ.2553
2.) สามารถปรับผู้ประกอบการรายบริษัท ฯ เป็นเงินตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดและปรับเป็นรายวันอีกวันละไม่น้อยกว่า 500 บาท จนกว่าจะมีการแก้ไขแล้วเสร็จ
และ3.) เห็นควรออกคำสั่งทางปกครองให้ผู้ปกครองรายดังกล่าวมาชำระค่าปรับเต็มจำนวน และปรับเป็นรายวันอีกวันละไม่น้อยกว่า 500 บาท จนกว่าจะมีการแก้ไขแล้วเสร็จและแจ้งสถานีตำรวจภูธรน้ำยืนรับทราบเกี่ยวกับคดีอาญา ฯลฯ และเทศบาลตำบลสีวิเชียรได้มีหนังสือแจ้งให้บริษัท ฯ คืนสภาพทางสาธารณประโยชน์ที่ได้ทำการขุดไปแล้วให้มีการถมดินเพื่อคืนสภาพเดิม
ในการคืนสภาพทางสาธารณประโยชน์ที่ดังกล่าว อำเภอน้ำยืนได้มีคำสั่งที่ 318/2560 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพื้นที่ในการคืนถนนสาธารณประโยชน์โดยคณะกรรมการตรวจสอบพื้นที่ตรวจสอบทางสาธารณประโยชน์ที่บริษัท ฯ ได้ส่งมอบคืนสภาพทางแล้ว และประชุมมีมติเสียงส่วนมากจำนวน 7 เสียง เห็นว่าการคืนสภาพถนนเป็นไปตามรูปแบบรายการที่กำหนดแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามมีกรรมการจำนวน 2 เสียง ที่มีความเห็นว่าการคืนสภาพถนนดังกล่าวเป็นไปตามแบบแปลนรายการที่วิศวกรได้เขียนแบบขึ้น แต่ในส่วนขอบถนนมีระยะจากปากบ่อประมาณ 1 เมตร ต้องถือปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรการการพังทลายของดินหรือสิ่งปลูกสร้างในการขุดดินหรือถมดิน พ.ศ. 2548 ข้อ 7 “การขุดดินที่มีความลึกจากระดับพื้นดินเกินสามเมตร หรือมีพื้นที่เกินปากบ่อดินเกินหนึ่งหมื่นตารางเมตร ปากบ่อดินจะต้องห่างจากแนวเขตที่ดินของบุคคลอื่นหรือที่สาธารณะเป็นระยะไม่น้อยกว่าสองเท่าของความลึกของบ่อดินที่จะขุด
เว้นแต่ จะได้มีการจัดการป้องกันการพังทลายของดิน หรือสิ่งปลูกสร้างโดยการรับรองของผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม สาขาวิศวกรรมโยธาตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร” ซึ่งการกำหนดให้ต้องมีการป้องกันการพังพลายของดินตามหลักวิศวกรรมนั้นทั่วไปแล้วต้องมีการปักเสาเข็มป้องกันการพังทลายของดิน (ชิปไพน์) ตลอดแนวถนนสาธารณะดังกล่าว ประกอบกับผู้ประกอบการไม่มีวิศวกรผู้ออกแบบหรือผู้ควบคุมการก่อสร้างการคืนถนนนี้มาชี้แจงเกี่ยวกับการคืนสภาพถนนหรือแนวทางการก่อสร้าง ตามแบบแปลนทำให้คณะกรรมการไม่อาจเข้าใจได้ว่าถูกต้องตามหลักวิศวกรรมหรือไม่
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบและวัดระดับ เห็นว่าการก่อสร้างดังกล่าวเป็นไปตามหลักภูมิศาสตร์และเห็นว่าสามารถใช้การได้ แต่ไม่มีแนวป้องกันการพังทลายตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อ 7 ของกฎกระทรวงดังกล่าวข้างต้น
@ บ่อเก็บน้ำที่ 2-3
เมื่อประมาณปี พ.ศ.2555-2556 บริษัทได้ทำการขุดบ่อเก็บน้ำบ่อที่ 2 เนื้อที่ประมาณ 16 ไร่ บนที่ดินมีเอกสารแสดงสิทธิที่ดิน จำนวน 2 แปลง ได้แก่ น.ส.3 ก. เลขที่ 1887 และใบจองเลขที่ 21 ของนางฮูม สะนัย (นางฮุมคิน ทิลัง หรือนางฮุมคิน สะนัย)
แต่เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีการประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 ในการขุดบ่อที่ 2 ครั้งนี้บริษัทจึงไม่มีการยื่นขออนุญาตขุดดินถม ซึ่งในท้องที่ตำบลสีวิเชียรมีการประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2556
โดยบริษัท ฯ ได้ขุดดินถมดินทับที่ดิน น.ส.3 ก.บางส่วนและที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่อยู่เหนือที่ดิน น.ส.3 ก. จำนวน 3-1-28.4 ไร่ ภายหลังการบังคับใช้ พระราชบัญญัติขุดดินถมดิน พ.ศ. 2543 ในพื้นที่แล้ว
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2558 บริษัทฯ ได้ยื่นขออนุญาตขุดดินถมดิน โดยอ้างอิงเอกสารสิทธิ์ 3 แปลงได้แก่ น.ส.3 ก.เลขที่ 1887 , ใบจองเลขที่ 21 และโฉนดที่ดินเลขที่ 11469 พื้นที่รวม 38-3-59.44 ไร่ โดยในเดือนตุลาคม 2558 นั้น บริษัท ฯ จึงได้ขุดบ่อเก็บกักน้ำบ่อที่ 3 ตั้งอยู่บริเวณด้านทิศตะวันตกของบ่อที่ 2 (ติดห้วยพอก) ตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต โดยบริษัทผู้ถูกกล่าวหาอ้างแผนผังบริเวณแบบแปลน รายการประกอบแบบแปลน และรายการคำนวณบ่อน้ำดี ที่บริษัทผู้ถูกกล่าวว่าจ้างให้ นายเสริญ สู่ทรงดี วิศวกร เป็นผู้ทำการสำรวจและจัดทำขึ้น ฉบับลงวันที่ 12 สิงหาคม 2558 และรายงานงานสำรวจสภาพภูมิประเทศ งานขุดบ่อน้ำดี ฉบับลงวันที่ 12 สิงหาคม 2558 ซึ่งรูปแผนที่ที่ดิน น.ส.3 ก. และใบจองเลขที่ 21 ที่จัดขึ้นประกอบคำขออนุญาตเป็นการรังวัดโดยช่างรังวัดเอกชน
การขุดบ่อเก็บน้ำบ่อที่ 3 ได้ขุดทับทางสาธารณประโยชน์ที่อยู่เหนือที่ดิน น.ส.3 ก. บางส่วนรวมทั้งที่รกร้างว่างเปล่าที่อยู่เหนือแปลงที่ดิน น.ส.3 ก. มีเนื้อที่ประมาณ 16-1-58.4 ไร่
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว ดีเอสไอ เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหา มีความผิดฐานความผิด “ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครองและทำประโยชน์โดยการขุดบ่อเก็บกักน้ำ ในที่ดินซึ่งตนไม่ได้มีสิทธิ อันเป็นที่ดินของรัฐและที่ดินสาธารณประโยชน์สำหรับประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และที่ป่า โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ประกอบ 108 ทวิ วรรคสอง และมาตรา 54 มาตรา 55 ประกอบมาตรา 72 ตรี แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 360 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับคดีนี้ ที่ผ่านมา ดีเอสไอ ได้รวบรวมพยานหลักฐานเอกสารและพยานวัตถุ สอบสวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ อ่านแปลภาพถ่าย ตรวจสอบตำแหน่งที่ดินและการใช้ประโยชน์ในที่ดิน นอกจากนี้ ยังมีการแจ้งข้อกล่าวหาผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 8 ราย (เจ้าหน้าที่รัฐ และนิติบุคคล) มีการดำเนินการให้ความเป็นธรรมตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 10 ร้องขอ โดยให้สอบพยานเพิ่มเติม จำนวน 1 ราย ตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ร้องขอ และมีการสอบพยานเพิ่มเติมตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ร้องขออีก 1 ราย แจ้งข้อกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2,ที่ 3 และที่ 4 แต่ในส่วนผู้ถูกกล่าวหา ที่ 2-3 ขอเลื่อนเพื่อนัดหมาย
ปัจจุบันยังไม่สามารถแจ้งข้อหากับ ผู้ถูกกล่าวหารายที่ 2 ,3 และ 4 ซึ่งเป็นกลุ่มกรรมการผู้ถือหุ้นบริษัทฯ หนึ่งในนั้นมีชื่อ นางสาวสุดาวรรณ รวมอยู่ด้วย
อนึ่ง สำหรับ ผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ ที่มีการเปิดเผยไปแล้ว มีอยู่ 4 คนคือ 1.บริษัท แป้งมันเอี่ยมอีสาน จำกัด 2.นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล อดีตรัฐมนตรี 3.นางยลดา หวังศุภกิจโกศล ปัจจุบันเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา และ 4.น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.อว. ในรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ทุกคนเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน

@ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล
เบื้องต้น น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ปฏิเสธที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ต่อสำนักข่าวอิศรา ระบุเพียงสั้นๆ ว่า ขออนุญาตยังไม่ให้ข้อมูล เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัท ปัจจุบันบริษัทยังมีการทำธุรกรรมอยู่ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ทำให้เกรงว่าอาจเกิดปัญหาตามมาภายหลัง
ขณะที่ คดีนี้ ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาชี้ขาดว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิด ผู้ถูกกล่าวหาทุกรายยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
