"...สำหรับประเทศไทย มีผู้แนะนำให้พิจารณาใช้ยาไอเวอร์เม็คติน ควบคู่กับการเร่งระดมฉีดวัคซีน เนื่องจากยาไอเวอร์เม็คตินเป็นยาที่มีราคาถูกและมีการพิสูจน์มา 45 ปีแล้วว่า เป็นยาที่ปลอดภัยมาก ผู้แนะนำได้เสนอให้รัฐบาลจัดหายา Ivermectin ที่มีราคาถูกมาก นำมาให้ปูพรมให้ประชาชนใช้ทานเพื่อป้องกันโควิด-19 (ซึ่งมีข้อมูลว่า ป้องกันได้ทุกสายพันธุ์) ถ้าทำได้สำเร็จ นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้ประเทศไทยเปิดประเทศได้ใน 120 วัน แทนที่จะรอความหวังลมๆแล้งๆจากการบริหารวัคซีนแต่อย่างเดียว..."
....................................
เดือนที่ผ่านมา ผมได้ติดตามกระแสข่าวฮือฮาระดับโลกเกี่ยวกับยาไอเวอร์เม็คติน (Ivermegtin) ที่มีผลการศึกษาจำนวนหนึ่ง ว่า เป็นยาที่สามารถใช้ป้องกัน (Prophylaxis) และรักษา (Treatment) เชื้อโควิด-19 ได้ค่อนข้างชะงัด จนปัจจุบันมีคนขนานนามว่า ยามหัศจรรย์ (Wonder Drug) ข่าวนี้ไม่ค่อยเป็นที่สนใจในประเทศไทย จนกระทั่งเมื่อการระบาดเริ่มรุนแรงขี้นและประชาชนเริ่มผิดหวังกับการบริหารการฉีดวัคซีนของรัฐบาลไทย
(1) ยาไอเวอร์เม็คติน ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 1975 โดย Satoshi Omura แห่ง Kitasato University และ William Campbell แห่งบริษัท Merck เพื่อเป็นยาฆ่าพยาธิ (anti-parasite) และถูกใช้ในการรักษาโรคพยาธิทั้งในมนุษย์และในสัตว์ จนผู้ค้นพบทั้งสองได้รับรางวัลโนเบลปี 2015
(2) ระหว่างที่เกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างรุนแรง ในประเทศออสเตรเลีย ได้มีการนำเชื้อโควิด-19 มาทำการทดลองในหลอดแก้วกับยาปัจจุบันที่มีอยู่ในระบบจำนวนมาก จึงพบว่า ยาไอเวอร์เม็คตินนี้ สามารถลดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 5,000 เท่า หลังจากนั้น หลายประเทศที่ยังขาดแคลนวัคซีน เช่น เปรู, ซิมบับเว, เม็กซิโก, อาร์เจนตินา ได้นำยาไอเวอร์เม็คตินมาทดลองใช้ ทำให้สามารถลดจำนวนผู้ป่วยหนักลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ และล่าสุดช่วงวิกฤติที่ผ่านมาในประเทศอินเดีย คนป่วยล้นโรงพยาบาล จึงมีการหันมาใช้ยาไอเวอร์เม็คตินในรักษาผู้ป่วยเบื้องต้นที่ไม่มีเตียงและในการป้องกันไม่ให้มีผู้ป่วยเพิ่ม ทำให้จำนวนติดเชื้อและเสียชีวิตลดลงอย่างฮวบฮาบ และในสองอาทิตย์ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่า ในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ได้มีความเคลื่อนไหวในหมู่บุคลากรทางการแพทย์ เพื่อการกดดันให้รัฐนำยาไอเวอร์เม็คตินมาใช้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ในสถานการณ์ที่มีผู้ติดเชื้อรอบใหม่จากสายพันธุ์เดลต้า
(3) จนถึงปัจจุบัน ทั้ง FDA และ NIH ของสหรัฐฯ และ WHO ยังไม่ได้ให้การรับรองการใช้ยาไอเวอร์เม็คตินเพื่อในการใช้ป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 อย่างเป็นทางการ โดยอ้างว่า ยานี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อต้านไวรัส และยังไม่มีหลักฐานจากการทดลองเพียงพอที่จะเป็นข้อยุติว่า ยานี้จะสามารถใช้รักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้ อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มแพทย์นานาชาติที่เห็นประโยชน์ของยามหัศจรรย์นี้ ได้รวบรวมผลการศึกษาวิจัยล่าสุดจำนวน 60 รายการ ที่มีผลออกมาอย่างน่าพอใจว่า ยาไอเวอร์เม็คตินมีประสิทธิผลดีทั้งในการป้องกันและในการรักษาผู้ป่วยที่เริ่มแสดงอาการจากการติดเชื้อโควิด-19 (ซึ่งผมขอเผยแพร่ให้คุณหมอที่เกี่ยวข้องได้ทราบจากลิงค์ https://ivmmeta.com/ )
(4) สำหรับประเทศไทยที่กำลังประสบวิกฤติหนัก ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็เริ่มมีการพูดถึงยาไอเวอร์เม็คตินโดยเฉพาะจากบุคลากรทางการแพทย์หลายคน แม้ว่าส่วนใหญ่ก็ยังสงวนทีท่าด้วยจรรยาบรรณทางการแพทย์อยู่ เนื่องจากยาตัวนี้ยังไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการให้ใช้รักษาโควิด-19 ได้ ที่น่าเป็นห่วงคือ เกรงว่า ประชาชนอาจซื้อยานี้มาทานเองโดยไม่ได้อยู่ในความดูแลของแพทย์ เช่น อาจนำยาชื่อเดียวกันที่ทำมาสำหรับฆ่าพยาธิในสัตว์มาทาน หรืออาจทานเกินขนาดจนเป็นอันตรายได้
(5) สำหรับประเทศไทย มีผู้แนะนำให้พิจารณาใช้ยาไอเวอร์เม็คติน ควบคู่กับการเร่งระดมฉีดวัคซีน เนื่องจากยาไอเวอร์เม็คตินเป็นยาที่มีราคาถูกและมีการพิสูจน์มา 45 ปีแล้วว่า เป็นยาที่ปลอดภัยมาก ผู้แนะนำได้เสนอให้รัฐบาลจัดหายา Ivermectin ที่มีราคาถูกมาก นำมาให้ปูพรมให้ประชาชนใช้ทานเพื่อป้องกันโควิด-19 (ซึ่งมีข้อมูลว่า ป้องกันได้ทุกสายพันธุ์) ถ้าทำได้สำเร็จ นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้ประเทศไทยเปิดประเทศได้ใน 120 วัน แทนที่จะรอความหวังลมๆแล้งๆจากการบริหารวัคซีนแต่อย่างเดียว
หมายเหตุ: ผู้เขียนไม่ได้เป็นบุคลากรทางการแพทย์ แต่มีความสนใจศึกษาและติดตามข้อมูลจากแหล่งผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก และที่ตัดสินใจเขียนโพสต์นี้ โดยพยายามไม่แตะความรู้ทางการแพทย์ เพียงแต่จะรวบรวมข้อมูลที่มีแหล่งอ้างอิงอย่างถูกต้องและสมดุลสำหรับประชาชนทั่วไป รวมทั้งจะได้เป็นประเด็นกระตุ้นให้ผู้เกี่ยวข้องกับการแก้ไขวิกฤติของชาติครั้งนี้ ได้มีการพิจารณาข้อดีข้อเสีย เผื่อจะใช้ยาตัวนี้อย่างเป็นระบบควบคู่กับการฉีดวัคซีน เหมือนหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว อีกทั้งหวังว่า หน่วยงานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องจะได้ให้คำแนะนำแก่ประชาชนที่ต้องการใช้ยาทางเลือกนี้ ให้ใช้ได้อย่างปลอดภัย แทนที่จะปล่อยให้ประชาชนต้องช่วยตัวเองไปตามยถากรรม โดยไม่เข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
Updated Database of Ivermectin Studies from this Website: https://www.facebook.com/100005249319513/posts/1747687132082914/
ศ. ดร. วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย ราชบัณฑิต
ผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา : Worsak Kanok-Nukulchai