"...ในอนาคตข้อมูลจะมีค่าเหมือนน้ำมัน แต่ถ้าข้อ 1 2 3 ข้างต้นไม่เกิด ข้อมูลที่เรามีและจะมีมากขึ้นก็อาจไม่ได้นำมาซึ่งชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามที่ควรจะเป็น หรือเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้แต่ไม่เต็มที่..."
ข้อมูลก็คงจะเหมือนน้ำมัน ถ้าไม่ลงทุนหา ขุดเจาะ และเอามากลั่น คุณค่าของน้ำมันก็คงไม่มาก
เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่เก็บข้อมูล หรือมีข้อมูลแต่เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือมีการบิดเบือน (ไม่มีการกลั่นสกัด) หรือมีข้อมูลดีแต่เก็บเอาไว้ไม่ได้แบ่งให้ใครใช้ คุณค่ามันก็คงมีแบบจำกัด
เมื่อเดือนพฤษาคมที่ผ่านมา ธนาคารโลกออกรายงาน World Development Report 2021: Data for Better Lives ซึ่งเป็นรายงานที่พูดถึงการวางรากฐานและวิสัยทัศน์ให้มีการใช้ข้อมูล แชร์ข้อมูล และนำข้อมูลมาใช้ซ้ำ เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังดีขึ้น
รายงานนี้ได้พูดถึงศักยภาพของการใช้ข้อมูลที่จะเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้คน ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าการใช้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นมีความเสี่ยงกับบุคคล ธุรกิจ และสังคม เช่นกัน โดยการจัดการกับความเสี่ยงสามารถทำได้ด้วยการกำหนดกติกาเพื่อสร้าง สัญญาทางสังคม (social contract) เพื่อช่วยให้การใช้และการนําข้อมูลกลับมาใช้ใหม่ มีการต่อยอดและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังดีขึ้นได้
สำหรับประเทศไทย ผมว่าเรามีประเด็นที่ต้องช่วยกันคิดสามเรื่อง
เรื่องที่ 1 การผลักดันเรื่องรัฐบาลดิจิทัล จะต้องควบคู่ไปกับการมียุทธศาสตร์ข้อมูลแห่งชาติ (National Data Strategy) และการวางรากฐานและกรอบกติกาให้มีการแชร์ข้อมูลกันได้อย่างสะดวกใจ
รัฐบาลมีการเก็บและรวบรวมข้อมูลจํานวนมากเกี่ยวกับทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่ข้อมูลสาธารณสุข การดูแลสุขภาพ ที่อยู่อาศัย การดํารงชีวิต ข้อมูลทางการเงินการคลัง ภาษี การศึกษา ไปจนถึงความมั่นคงภายในประเทศ แต่ปัญหาที่เราประสบคือ เจ้าของข้อมูลไม่ค่อยอยากจะแชร์หรือแชร์ก็แชร์แบบระมัดระวัง ในทางเศรษฐศาสตร์ เจ้าของข้อมูลอาจมองว่า มันเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย กล่าวคือการข้อมูลที่แชร์ไปอาจจะมีประโยชน์กับผู้อื่นแต่มันก็มีความเสี่ยงที่อาจจะสร้างโทษให้กับตนด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีการมองกันว่าการมีข้อมูลอยู่ในมือเป็นการสร้างอำนาจการต่อรองให้กับตัวเอง และทำให้ตนเองหรือองค์กรของตน มี power และมีความสำคัญ
ปัญหาเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะสำหรับประเทศไทย แต่เป็นปัญหาที่หลายประเทศประสบ และข้อดีคือหลายประเทศสามารถหาทางออกได้ เช่น เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร เอสโตเนีย แบะสิงคโปร์ เป็นต้น ดังนั้น การวางกติกา กรอบธรรมาภิบาล เพื่อแก้โจทย์ “ได้ไม่คุ้มเสีย” นี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง โดยจะรวมถึง การมีกฎหมายว่าด้วยเรื่องข้อมูลข่าวสาร ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล ที่มีมาตรฐานสากล แต่การมีกฎหมายก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแก้โจทย์นี้ และจำเป็นต้องมีการสร้างวัฒนธรรม และแรงจูงใจอื่นๆ เพื่อให้มีการแชร์และเปิดเผยข้อมูล และที่สำคัญต้องปรับสมการ “ได้ไม่คุ้มเสีย” ให้เป็น “มีแต่ได้ไม่มีเสีย”
อีกประเด็นนึงก็คือ การมียุทธศาสตร์ข้อมูลแห่งชาติ ผมเชื่อว่าสิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาในหัวคือคำถามที่ว่า “ยุทธศาสตร์ข้อมูลแห่งชาติ” นี้คืออะไร
เมื่อพูดถึงยุทธศาสตร์ เราอาจจะนึกถึงเอกสารลักษณะหนึ่งที่อ่านแล้วรู้ว่าจะต้องทำอะไรแต่อาจจะไม่รู้ว่าเพื่ออะไร ยุทธศาสตร์ข้อมูลแห่งชาติจะต้องไม่เป็นเช่นนั้น โดยทั่วไปยุทธศาสตร์คือการเดินเกมจะจุด A ไป จุด B โดยมีเป้าชัดเจนว่าการเดินเกมนี้เพื่ออะไร โดยยุทธศาสตร์ข้อมูลแห่งชาติจะต้องระบุว่าข้อมูลอะไรที่ประเทศควรมี และข้อมูลเหล่านี้จะต้องมีช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศในอนาคต เมื่อเห็นภาพปลายทางที่อยากมีและอยากเป็นแล้ว ยุทธศาสตร์ข้อมูลแห่งชาติจะต้องวางแนวทางในการพัฒนาระบบข้อมูลระดับชาติแบบบูรณาการ (National Integrated Data System) และสร้างการปฏิรูปขับเคลื่อนโดยรวม (transformation) ซึ่งการมียุทธศาสตร์ข้อมูลแห่งชาติที่ชัดเจน จะช่วยจัดลําดับความสําคัญ (prioritization) ของการเปิดข้อมูล (Open data) เพื่อการพัฒนาด้วย ทั้งนี้ การจัดทำยุทธศาสตร์ข้อมูลแห่งชาติจะต้องเป็นกระบวนการที่เปิดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางและเกิดการมีเป้าหมายร่วม โดยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการนำขบวนแบร่วมไม้ร่วมมือกัน (collaborative leadership)
การวางรากฐานและกติกาที่ชัดเจนจะมีนัยสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบันและในอนาคตจะทำให้ต้นทุนการเก็บ แชร์ และใช้ข้อมูล ต่ำลง แถมสถานการณ์โควิดก็ได้ป็นตัวเร่งปฏิกริยาให้เกิดสังคมดิจิทัลอีกด้วย โดยทั้งหมดนี้จะส่งผลให้มีข้อมูลปริมาณมากขึ้น แต่หากเราไม่นำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ หรือไม่มีสัญญาทางสังคมให้เกิดความสะดวกใจในการเก็บ ใช้ แชร์ข้อมูล คุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมก็จะไม่เกิด หรือเกิดในวงจำกัด
ประเทศไทยถือว่ามีแต้มต่อในระดับนึง เพราะมีการลงทุนด้านโทคโนโลยีสารสนเทศ และโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ ก็คือการลงทุนที่ผ่านมาเหมือนเป็นการสร้างเครือข่ายถนนไว้แล้ว ถ้าข้อมูลเปรียบเสมือนรถ เจ้าของรถ (เจ้าของข้อมูล) ก็สามารถเอารถตัวเองลงมาวิ่งบนโครงข่ายถนนดิจิทัลนี้ได้
แต่ลองนึกสภาพว่าคนที่มีรถ (ข้อมูล) ก็ยังไม่แน่ใจว่ากฎระเบียบบนท้องถนนดิจิทัลนี้เป็นยังไง ตกลงวิ่งซ้ายหรือวิ่งขวา รถเราพวงมาลัยต้องอยู่ฝั่งไหน เจ้าของรถคนอื่นขับเป็นมั้ย เรียนมามั้ยหรือมีใบขับขี่มั้ย บางคนก็อยากขับแต่ก็กลัวเกิดอุบัติเหตุ หรือเสียชีวิต เพราะป้ายถนนป้ายบอกทางไม่ชัด บางคนคิดว่ารถของตัวเองดี แรง แต่ออกตัวปุ๊ปโดนจับปั๊ป เพราะอาจจะออกตัวแรงไปหรือไม่รู้ว่ามีการจำกัดความร็ว! บางทีกฎระเบียบดูดี แต่ไม่ไว้ใจผู้คุมกฎ หรือบางทีเพื่อนขอยืมเอาไปขับ (เอาข้อมูลเราไปใช้) แต่ปรากฎว่าดันเอาไปขนของผิดกฎหมาย
ต่างๆเหล่านี้ เปรียบเทียบเป็นอุปมาอุปไมยของสถานการณ์ข้อมูลดิจิทัลในบ้านเรา
เรื่องที่ 2 การปฏิรูปขับเคลื่อน (transformation) ต้องเป็นการขับเคลื่อนให้เกิด รัฐบาลข้อมูลดิจิทัล (Digital Data Government) เพราะคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของการมี รัฐบาลข้อมูลดิจิทัล นั้นสูงกว่าการมีเพียง รัฐบาลดิจิทัล (Digital Government)
ถ้าพูดแบบให้เข้าใจง่าย การมีรัฐบาลดิจิทัลก็คือการปรับกระบวนการทำงาน ระบบปฏิบัติการ และเครื่องมือที่ใช้ในการปฏิบัติงาน จากระบบสภาพวะแวดล้อม offline ดั้งเดิมที่ไม่มีการเชื่อมต่อ มาเป็นแบบดิจิทัล แต่การมีรัฐบาลข้อมูลดิจิทัล คือการปรับการทํางานไปสู่สภาพวะแวดล้อมแบบดิจิทัลเฉยๆ แต่เพื่อให้สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลนําจุดข้อมูลและแพลตฟอร์มที่กระจัดกระจายมารวมกันในระบบนิเวศที่กว้างขึ้นของรัฐบาล และสร้างภาพรวมที่ชัดเจนให้เห็นจุดเชื่อมโยงของข้อมูลที่จะสามารถนำไปปรับปรุงขยายผลและเพิ่มคุณค่าและมูลค่ามากขึ้น
ถ้าทำสำเร็จ รัฐบาลข้อมูลดิจิทัล จะสร้างคุณค่าของข้อมูลให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าและมีศักยภาพที่จะ
1) ช่วยให้การบริการสาธารณะแก่ประชาชน เข้าถึงง่าย สะดวกและรวดเร็วขึ้น ในอนาคตข้อมูลของเรา หรือของธุรกิจเราที่รัฐมีจะอยู่บนมือถือเรา และเราสามารถเรียกใช้ข้อมูลเหล่านี้โดยไม่ต้องวิ่งขอเอกสารจากหน่วยงานต่างๆ และจะช่วยสนับสนุนการก้าวไปสู่ smart cities เป็นต้น
2) ช่วยให้การกำหนดนโยบายสาธารณะตรงเป้าและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อมูล โดยผลประโยชน์รองที่จะตามมาคือทำให้การกำหนดนโยบายรัฐมีความเป็นการเมืองน้อยลงได้ (depoliticize) กล่าวคือ นอกจากนี้ จะช่วยให้มีการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบแบบ real time
3) ช่วยจัดลำดับความสำคัญในการใช้งบประมาณที่มีอย่างจำกัด โดย สามารถกําหนดกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้นและเพื่อเข้าถึงประชากรชายขอบและพื้นที่ห่างไกลที่ต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ และ
4) ส่งเสริมให้เกิดรัฐโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเสริมพลังพลเมือง (citizen empowerment) โดยประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูล ความรู้ และข่าวสารเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกในสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง
แต่ถ้าเราตั้งธงไว้เพียงแค่อยากให้มีรัฐบาลดจิทัล และไม่ใช่รัฐบาลข้อมูลดิจิทัล เรื่องการบูรณาการจุดข้อมูลและแพลตฟอร์มที่กระจัดกระจายมารวมกันเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและคุณค่าก็จะเป็นเรื่องรอง หรือแย่ไปกว่านั้นเราอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากเท่าที่ควร และปล่อยให้เป็นไปตาม “ยถากรรม” กล่าวคือหน่วยงานที่เล็งเห็นประโยชน์ของข้อมูลและมีศักยภาพพอก็จะต่อยอดความเป็นดิจิทัลของหน่วยงานด้วยการเชื่อมต่อข้อมูล และสร้างมูลค่าเพิ่ม แต่หน่วยงานที่ขาดความรู้และศักยภาพด้านข้อมูลก็จะมองไม่ทะลุถึงประโยชน์ที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นเพียงแค่เครื่องมือ มาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อให้เกิดประโยชน์ครบทุกสี่ข้อตามที่เกริ่นไว้ข้างต้น ถ้าพูดแบบฝรั่ง ก็คือ เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นแค่เครื่องมือและไม่ใช่เป้าหมายหลัก (it’s a means to an end, not an end in itself).
สรุปอีกครั้งก็คือ ถ้าเราตั้งธงไว้เพียงแค่อยากให้มีรัฐบาลดจิทัล และไม่ใช่รัฐบาลข้อมูลดิจิทัล เราอาจจะได้ประโยชน์ที่ระบุไว้ในข้อ 1 (บางส่วน) และอีกสามข้อนั้น โอกาสที่เราจะได้ประโยชน์ตามนั้นอาจจะน้อยมากหรือไม่ได้เลย
เรื่องที่ 3 รัฐบาลข้อมูลดิจิทัล จะเกิดได้ก็ต่อเมื่ออุปสงค์และอุปทานเสริมซึ่งกันและกัน
อุปทานในที่นี้ก็คือการที่รัฐมีวิสัยทัศน์และสามารถเดินเกมของภาครัฐตามเรื่องที่ 1 และ 2 ที่กล่าวมาแล้ว แต่มันจะไปต่อมันต้องมีปัจจัยอุปสงค์เข้ามาเสริม นั่นก็คือมีกลุ่มคน บริษัท นักวิจัย หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ที่ต้องการข้อมูล อยากใช้ข้อมูล วิเคราะห์และใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็น ทั้งการประมวลผลและใช้ในการสื่อสาร เช่น เครื่องมือ Data Visualization หรือ เครื่องมือไว้ทำ Dashboards เป็นต้น
ในปัจจุบัน อุปสงค์ก็มีแต่ยังอยู่ในวงจำกัด และเมื่อเจอกับอุปทาน ที่เผชิญกับโจทย์ “ได้ไม่คุ้มเสีย” ก็ทำให้อุปสงค์เกิดอุปสรรค! การทำเรื่อง 1 และ 2 ที่กล่าวไว้ ก็น่าจะช่วยให้อุปสรรคที่อุปสงค์กำลังประสบลดลง
เราจำเป็นต้องสร้างความรู้พื้นฐานด้านข้อมูล (Data Literacy) ควบคู่ไปกับความรู้พื้นฐานเรื่องดิจิทัล (Digital Literacy) เริ่มตั้งแต่ระดับประถม ให้ อ่านข้อมูลเป็น นำมาใช้งานเป็น วิเคราะห์เป็น และที่สำคัญถกเถียงกับข้อมูลเป็น ที่สำคัญ ข้อมูลมีทั้งข้อความ (Text) ตัวเลข (Numbers) ภาพนิ่ง (Images) เสียง (Audio) และ ภาพเคลื่อนไหว (Video) เป็นต้น ซึ่งข้อมูลแต่ละประเภทมีลักษณะที่แตกต่างกัน และที่สำคัญอย่างยิ่ง เราต้องประเมินระดับ ความรู้พื้นฐานด้านข้อมูล (Data Literacy) และความรู้พื้นฐานเรื่องดิจิทัล (Digital Literacy) ในหน่วยงานราชการ และจัดทำหลักสูตรเสริมสร้างศักยภาพและ re-skill หรือสร้างทักษะใหม่เพื่อให้มีความพร้อมในการเปิดรับ รัฐบาลข้อมูลดิจิทัล
สุดท้ายนี้ สถาบัน McKinsey Global ได้ประเมินไว้ในปี พ.ศ. 2556 ว่าการเปิดข้อมูลมากขึ้น (Open Data) เพื่อให้มีการใช้ และใช้ซ้ำอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลของรัฐ จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากถึง 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี การประมาณการนี้เป็นการวิเคราะห์ผลประโยชน์จากเจ็ดภาคส่วน คือ การศึกษาการ ขนส่ง สินค้าอุปโภคบริโภค ไฟฟ้า น้ํามันและก๊าซธรรมชาติ การดูแลสุขภาพ และการเงินภาคประชาชน มูลค่าเพิ่มเติมนี้เป็นผลมาจากการเปิดข้อมูล (Open Data) ซึ่งก่อให้เกิดธุรกิจผู้ประกอบการหลายร้อยแห่งและช่วยให้บริษัททำการตลาดและพัฒนาสินค้า ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ รวมทั้งประโยชน์จากการเพิ่มปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดําเนินงานที่สูงขึ้น
ในอนาคตข้อมูลจะมีค่าเหมือนน้ำมัน แต่ถ้าข้อ 1 2 3 ข้างต้นไม่เกิด ข้อมูลที่เรามีและจะมีมากขึ้นก็อาจไม่ได้นำมาซึ่งชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามที่ควรจะเป็น หรือเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้แต่ไม่เต็มที่