"...สำนักข่าวอัลจาซีราห์ รายงานว่าที่อินโดนีเซียก็มีการโฆษณาชวนเชื่อแบบ IO ของรัสเซียคล้ายๆ กับไทย โดยปรากฎเป็นนิยายตื้นเขินเรื่องผัวๆ เมียๆ ทะเลาะกันทำให้ลูกๆ เดือดร้อนเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องผัวเมีย(รัสเซีย-ยูเครน)ทะเลาะกันเพราะเมียนอกใจไปเป็นชู้กับเศรษฐี (อเมริกา) เรียกว่าถูกอกถูกใจหนุ่มๆ ชาวอินโดนีเซียมาก เพราะแปลงเรื่องซับซ้อนให้ฟังเข้าใจง่ายๆ ตื้นๆ โดยไม่ใส่ใจกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เรื่องเล่าแบบนี้มีแกนกลางปรากฎในสื่อสังคมของจีน ทั้งเหวยโบ (Weibo) และวอทซแอป (WhatsApp)ก่อน แล้วแปลใส่สีสันมีดรามาท้องถิ่นระบาดออกหลายประเทศในเอเชียรวมทั้งไทยด้วย โดยสร้างภาพว่ารัสเซียเป็นเหยื่อที่น่าสงสาร..."
การยกกองทัพด้วยกำลังพลนับแสนคนพร้อมด้วยอาวุธหนักของมหาอำนาจนิวเคลียร์รัสเซีย แล้วยิงขีปนาวุธจากวิถีไกลเข้าถล่มยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทั้งๆ ที่ ประธานาธิปดีปูตินประกาศต่อชาวโลกหลายครั้งว่าตนไม่มีแผนการที่จะบุกรุกยูเครนเพียงแค่ซ้อมรบ แล้วยังหลอกประธานาธิปดีไบเดนว่าจะไปประชุมสุดยอดหาข้อยุติทางการทูตที่เจนีวา แต่แล้วก็เบี้ยววินาทีสุดท้าย แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมลวงโลก Information Operation (IO) ที่รัสเซียดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ สามารถหลอกพาคนไทยให้ผิดหลงไปได้จำนวนหนึ่ง
บัดนี้จึงกลายเป็นเรื่องน่าวิตกที่ว่าสงครามข่าวสารซึ่งมีต้นตอจากต่างประเทศได้ส่งแรงเหวี่ยงทำให้ ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งในประเทศไทยกลายเป็นเหยื่อสงคราม หลุดออกจากตำแหน่ง
สงครามข่าวสารของปูตินนี้ทวีความรุนแรงมาตั้งแต่ปี คศ. 2014 เมื่อกองทัพรัสเซียบุกรุกเข้าไปผนวกดินแดนคาบสมุทรไครเมีย (Crimea) ของยูเครนแล้วส่งกำลังทหารเข้าไปยุยงให้แบ่งแยกดินแดน จังหวัดลูฮั้นท์และดอนเนสต์ด้านตะวันออกติดพรมแดนรัสเซีย จนกลายเป็นการปะทะที่ต่อเนื่องกันมา และถูกใช้เป็นข้ออ้างในการส่งกองทัพบุกรุกเข้ายูเครนโดยมิได้มีการประกาศสงครามตามกติกาสากล (undeclared-unprovoked war) ถือว่าละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ
ทั้งนี้นายปูตินเคยประกาศต่อที่ประชุมผู้นำกองทัพรัสเซียในมอสโคว์ว่าในประวัติศาสตร์แต่โบราณว่ายูเครนมิได้เป็นประเทศที่มีตัวตนอย่างแท้จริง แต่เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ์รัสเซีย ซึ่งเป็นข้อกล่าวอ้างฝ่ายเดียวไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ และเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรม IO ที่พยายามสร้างความชอบธรรมในการก่อสงครามโหดร้ายกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีขนาดเล็กกว่า เปรียบเสมือนหมาป่ากับลูกแกะ
มหกรรม IO ลวงโลกของปูตินที่แพร่หลายออกทั่วโลกมาตั้งแต่การผนวกดินแดนไครเมียดูจะได้ผลในบางประเทศที่รัฐบาลควบคุมสื่อไม่ยอมให้มีการตรวจสอบ แต่มักจะไม่ได้ผลในประเทศที่มีความหลากหลายทางข้อมูลข่าวสารที่เปิดเสรีให้มีการตรวจสอบ fact check ข้อเท็จจริง
กรณีการประท้วงหน้าจอทีวีของ บก. ข่าวสาวชาวรัสเซียเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนในสื่อโทรทัศน์ของรัฐบาลเอง เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าสื่อที่รัฐบาลควบคุม มักจะโกหกหลอกลวงประชาชน ซึ่งคนทำสื่อที่ซื่อตรงต่อวิชาชีพยอมรับไม่ได้ รวมไปถึงการไล่เบี้ยปิดตัวลงของสำนักข่าวอิสระหลายแห่งในมอสโคว์เพราะเผด็จการปูติน ออกกฎหมายควบคุมสื่อแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ให้รายงานข่าวที่ให้ข้อเท็จจริแตกต่างไปจากรัฐบาล
ส่วนกรณีที่เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนตัวผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 แบบฟ้าผ่านั้นก็คงเป็นตัวอย่างหนึ่งของสงคราม IO ที่มีต้นตอมาจากกระบวนการโฆษณาชวนเชี่อรัสเซีย ที่สาดข้อมูลเท็จบ้างจริงบ้างท่วมสื่อสังคมไทยเสมือน คลื่นสุนามิ IO ที่ป้อนข้อมูลโกหกซ้ำๆ เข้าในกลุ่มไลน์ต่างๆ แล้วใช้เทคนิคคลิก เบทจนมีการนำข้อความโฆษณาชวนเชี่อเหล่านั้นเข้าสู่สื่อกระแสหลักของบางสำนักที่ขาดความรอบคอบในการตรวจสอบที่มาที่ไป
ขณะเดียวกันก็มีสื่อบางสำนักที่คึกคนองเกินงาม มีพฤติกรรมอาจเอื้อมอันมิบังควร ด้วยการดึงฟ้าลงต่ำ นำสถาบันสุงสุดของชาติลงมาโยงใยให้มัวหมองไปกับปัญหาความขัดแย้งการเมืองระหว่างประเทศที่อยู่ไกลจากประเทศไทยออกไปหลายพันกิโลเมตร โดยที่ฝ่ายความมั่นคงที่เคยเข้มงวดเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ ยอมปิดตาข้างหนึ่ง
ความจริงแล้วกรณีสงครามรุกรานยูเครนเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันในหลายประเทศ เพราะมีผลกระทบต่อปากท้องของประชาชนทุกระดับ แต่ดูเหมือนว่าการโต้เถียงในประเทศไทยออกจะดุเดือดกว่าประเทศอื่นๆในโลก เพราะมีคนที่หมกมุ่นหลงทิศหลงทางในไทย นำความขัดแย้งนอกประเทศมาผสมกับบรรยากาศความคิดเห็นที่แตกต่างในกลุ่มผู้คนของประเทศตัวเอง จึงกลายเป็นปรสิตกันกินสังคมไทย ยกระดับให้บาดหมางกันถึงขั้นผู้บริหารสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งต้องกลายเป็นเหยื่อ
สำนักข่าวอัลจาซีราห์ รายงานว่าที่อินโดนีเซียก็มีการโฆษณาชวนเชื่อแบบ IO ของรัสเซียคล้ายๆ กับไทย โดยปรากฎเป็นนิยายตื้นเขินเรื่องผัวๆ เมียๆ ทะเลาะกันทำให้ลูกๆ เดือดร้อนเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องผัวเมีย(รัสเซีย-ยูเครน)ทะเลาะกันเพราะเมียนอกใจไปเป็นชู้กับเศรษฐี (อเมริกา) เรียกว่าถูกอกถูกใจหนุ่มๆ ชาวอินโดนีเซียมาก เพราะแปลงเรื่องซับซ้อนให้ฟังเข้าใจง่ายๆ ตื้นๆ โดยไม่ใส่ใจกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เรื่องเล่าแบบนี้มีแกนกลางปรากฎในสื่อสังคมของจีน ทั้งเหวยโบ (Weibo) และวอทซแอป (WhatsApp)ก่อน แล้วแปลใส่สีสันมีดรามาท้องถิ่นระบาดออกหลายประเทศในเอเชียรวมทั้งไทยด้วย โดยสร้างภาพว่ารัสเซียเป็นเหยื่อที่น่าสงสาร
ในประเทศเสรีประชาธิปไตย สงครามข่าวสารเป็นเรื่องที่ตรวจสอบกันได้ แม้มีสื่อที่เลือกข้างก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นสื่อเสรีที่ทำงานตามหลักวิชาชีพ แม้กระนั้นก็ยังถูกเหมารวมอย่างมักง่ายว่าเป็นสื่อเข้าข้างตะวันตก ทั้งๆที่สื่อตะวันตกมีความหลากหลาย มีการแข่งขันและตรวจสอบกันเอง ใครผิดจริยธรรมก็จะถูกเปิดโปง และบางสำนักก็มี track record มีการสะสมความน่าเชื่อถือ โดยรัฐบาลจะควบคุมไม่ได้
แต่ในประเทศที่รัฐบาลควบคุมบงการสื่อเบ็ดเสร็จอย่างเช่นรัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ เมียนมาร์ เป็นการยากที่ประชาชนจะตรวจสอบข้อเท็จจริง Fact Check เพราะถูกป้อนข้อมูลด้านเดียว ถ้ามีใครที่แสดงความกล้าหาญอยากจะตรวจสอบก็จะถุกคุกคามและ ลงโทษในลักษณะต่างๆ
ดร. เจนนีเฟอร์ แคสซิดี ซึ่งเป็นนักวิชาการของมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ได้เขียนบทความเมื่อเร็วๆ นี้ว่า สื่อสังคมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามไปแล้ว ตั้งแต่เกิดสิ่งที่เรียกว่า อาหรับสปริง (ปี 2010) นับตั้งแต่นั้นมาพื้นที่ในสื่อสังคมออนไลน์ได้กลายเป็นสนามรบของคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย ทั้งรัสเซียเอง และประเทศอดีตอาณานิคมในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ที่เพิ่งได้เอกราชและพัฒนาตัวเองเป็นประชาธิปไตย ต่างก็ไม่ต้องการกลับไปตกอยู่ภายใต้อำนาจการบงการของผู้นำเผด็จการแบบรัสเซียอีกต่อไป จึงได้เปิดสงครามข่าวสารต่อต้านซึ่งกันและกัน
หลังจากที่ปูตินส่งทหารเข้ายึดไครเมีย เมื่อปี 2014 ทำให้ประเทศเล็กๆที่มีกองทัพขนาดเล็กๆ รู้ถึงปัญหาความไม่มั่นคงของตนเพราะมีพรมแดนติดกับรัสเซีย โดยเฉพาะยูเครนที่ถูกรัสเซียคุกคามมานานแม้ว่าจะยอมถอนอาวุธนิวเคลียร์ส่งคืนให้รัสเซียไปหมดแล้วตั้งแต่ปี 1994 ตามข้อตกลง Budapest Memorandum แล้วก็ตาม เพื่อแลกกับการันตีจากรัสเซียว่าจะไม่ส่งทหารคุกคามหรือรุกราน แต่ผู้นำรัสเซียไม่เคยปฏิบัติตามคำสัญญาฉบับนี้ เห็นได้จากกรณีถูกบุกรุกยึดไครเมีย ทำให้ยูเครนเสียวสันหลังไม่ไว้วางใจ จึงเริ่มติดต่อมองหาการันตีจากอียูและภาคีนาโต
ข้อมูลจากประวัติศาสตร์ส่วนนี้หักล้างข้อกล่าวอ้างจาก IO ของปูตินที่ว่าถูกภาคีนาโตคุกคามจนต้องส่งทหารบุกรุกยูเครนเพื่อปลดอาวุธนิเคลียร์ และมีการโฆษณาชวนเชี่อที่ว่าชาวยูเครนถูกหลอกลวงให้ชักศึกเข้าบ้าน อยากเข้าภาคีนาโตเพื่อคุกคามรัสเซีย ซึ่งเป็นเรื่องที่ปูตินใช้โฆษณาลวงโลก
หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์สมัยที่เป็นเมืองขึ้นของโซเวียตนั้น เผด็จการสตาลินใช้นโยบายนารวมบังคับสูบเอาพืชผล-ทรัพยากรจากยูเครนและอาณานิคมหลายประเทศ กลับไปป้อนประชาชนรัสเซียจนผู้คนยูเครนและยุโรป ตอ. --ยุโรปกลาง ต้องอดตายหลายล้านคน ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า Holodomor หรือ Red Famine ข้อเท็จจริงนี้เป็นประวัติศาตร์ที่ตรวจสอบได้
ประวัติศาสตร์ส่วนนี้มีบันทึกไว้มากมายหลายประเทศที่เป็นเหยือของสตาลิน รวมไปถึงเหตุการณ์ปราบ ปรามอย่างทารุณ ที่เรียกว่า Prague Spring (ปี 1968) แต่รัสเซียไม่ยอมรับความจริง โดยละเว้นไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยมีแต่เรื่องเล่าผัวๆ เมียๆ ตาม IO ที่แพร่หลายในสื่อโซเชียลของไทย
ปูตินเองก็เคยปราศัยทางทีวีว่าการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็นหายนะครั้งประวัติศาสตร์ของรัสเซีย แสดงให้เห็นว่าเขาโหยหาความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ์โซเวียตให้หวนคืนมา มาถึงวันนี้ เขายังไม่ยอมรับว่า จักรวรรดิ์โซเวียต ‘มันจบไปแล้วครับนาย’ เพียรพยายามพัฒนาสะสมอาวุธนิวเคลียร์จนมีหัวรบมากที่สุดในโลก โดยพยายามที่จะแผ่ขยายอิทธิพลของรัสเซียให้เป็นที่เกรงกลัวของประเทศรอบบ้าน แต่เสแสร้งว่าถูกเพื่อนบ้านคุกคาม โดยอ้างว่าเคยมีข้อตกลง (สมัยบุช-กอบาชอบ) ว่านาโตจะไม่ขยายรับสมาชิกเพิ่ม แต่เมื่อค้นหาข้อเท็จจริง fact check แล้วพบว่ามีการหารือกันจริงอันเป็นส่วนหนึ่งของการต่อรองบนโต๊ะเจรจา แต่ไม่เคยมีการสรุปทำข้อตกลงตามที่ปูตินลักไก่กล่าวอ้างอย่างผิดบริบท และไม่ครบถ้วนตามความเป็นจริง
แม้ว่าการทำสงครามข่าวสารระหว่างรัสเซียกับยูเครนมีจุดเริ่มมาตั้งแต่การบุกยึดคาบสมุทรไครเมีย แต่ทั้งรัสเซียและยูเครนได้ยกระดับสงครามข่าวสารในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาเมื่อมีเค้าว่ารัสเซียระดมกำลังพลเข้าประชิดพรมแดนยูเครน ก่อนการบุกรุกจริงเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์
ในวิกฤติการณ์ครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่ามีการใช้กลยุทธ์หลายรูปแบบในการใช้ข่าวสารเพื่อทำสงคราม ตั้งแต่การโฆษณาชวนเชื่อแบบโกหกซึ่งๆ หน้า การให้ข้อมูลลวง ให้ข้อมูลครึ่งเดียว ไม่ครบถ้วน การปล่อยข่าวเทียม การสร้างภาพเปรียบเทียบเหตุการณ์อย่างผิดบริบท การเล่านิยายแบบตื้นเขิน โดยมีความตั้งใจที่จะหลอกลวงผู้รับสารให้เข้าใจผิดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมืองและทางทหาร
เทคโนโลยี่ดิจิทัลทำให้สงครามข่าวสารเปลี่ยนรูปแบบไปเข้าถึงผู้รับสารได้อย่างรวดเร็ว โดยขาดการคัดกรองแยกแยะ มีการใช้เครื่องไม้เครื่องมือและรูปแบบการสื่อสารอย่างเช่น Cyber Warfare และ Psychological Operation หรือปฏิบัติการณ์จิตวิทยา ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการเปลี่ยนแนวความคิดของกลุ่มเป้าหมายให้มีความเห็นสอดคล้องกับนโยบายของพวกตน เห็นได้จากการใช้เรื่องเล่า ผัวๆ เมียๆ ทั้งในสื่อสังคมจีน กลุ่มแชทของไทยหรืออินโดนีเซีย เป็นยุทธวิธีที่ได้ผลในการโน้มน้าวกลุ่มเป้าหมายให้สนับสนุนรัสเซียทำสงครามผิดกฎหมายรุกรานยูเครน