
ศตวรรษที่ 15 เป็นช่วงเวลาที่มีความเชื่อว่าผู้ที่มีความคิดนอกรีตจะต้องถูกจับเผา "ราฟาล" เด็กหนุ่มอัจฉริยะมุ่งหวังจะเข้าเรียนเอกวิชาเทววิทยา ซึ่งเป็นวิชาที่สำคัญที่สุดในขณะนั้นที่มหาวิทยาลัย วันหนึ่งเขาก็ได้พบกับชายลึกลับคนหนึ่งที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับ “ความเป็นจริง” ที่เป็นไปได้ในแนวความคิดนอกรีต และเขาก็เกิดหลงใหลในความเป็นจริงนั้น ชีวิตเขาและความรู้ใหม่อันเป็นจริงนั้นจะพาชะตาชีวิตเขาและโลกใหม่ให้เปลี่ยนไปทางทิศทางใด?
สุริยะปราชญ์ -ทฤษฎีสีเลือด- หรือ Orb: On the Movements of the Earth เป็นผลงานโดย Uoto ที่มีการอิงประวัติศาสตร์ เรื่องของ ทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ทฤษฎีที่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ ในทวีปยุโรปช่วง ศตวรรษที่ 15 แนวคิดนี้เป็นแนวคิดตรงกันข้ามกับแนวคิดโลกเป็นศูนย์กลาง ทำให้แนวคิด “ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ” เป็นเรื่องต้องห้ามความผิดร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต

จุดเด่นของ สุริยะปราชญ์ -ทฤษฎีสีเลือด- ที่ทำให้เรื่องนี้มีความแตกต่างจากเรื่องอื่น ยากจะลอกเลียนแบบได้คือวิธีการเล่าเรื่อง ที่มีตัวเอกหลายคน แต่ทั้งหมดต่างทำเพื่อจุดหมายเดียวกัน นั้นคือ “แบบจำลองของทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง” สิ่งที่น่าชื่นชมคือ นอกจะเป็นการเล่าเรื่องที่น่าสนใจแล้ว ยังตรงกับมโนทัศน์ เรื่องของการหมุนรอบโลกไปเหมือนกับที่การเปลี่ยนตัวละครเรื่อย ๆ อีก ตัวละครเอกทุกตัวเองก็ล้วนมีความเชื่อและศรัทธาที่ต่างกัน ทำให้เมื่อเปลี่ยนตัวละครเอกใหม่ทุกครั้ง เรื่องราวจะพาเราไปสำรวจกับแง่คิดของผู้คนในหลากหลายมุมมอง เช่น มุมมองของ เคาท์ปิอาสต์ นักดาราศาสตร์ผู้นำกลุ่มวิจัย ที่เชื่อในทฤษฎีโลกเป็นศูนย์กลาง แต่ลึกๆแล้วเพียงแค่ไม่อยากยอมรับความจริงว่าสิ่งที่ค้นคว้ามาทั้งชีวิตมันผิด

สิ่งที่ทำให้เรื่องสนุกเข้าไปอีกคือองค์ประกอบของ Suspend, Thriller ด้วยการสร้างตัวละครฝั่งร้ายที่น่าชื่นชมอย่าง โนวาค นักไต่สวนที่ไม่มีคตินิยมใด ๆ อย่างเฉพาะเจาะจง แต่เชื่อว่าหน้าที่ของตนจะปกป้องสันติภาพของโลกรวมถึงลูกสาวของตน แม้ต้องใช้วิธีการที่โหดร้ายก็ตาม เขาเป็นเพียงแค่ชายผู้ศรัทธาในพระเจ้า ทำให้ฝั่งตัวละครหลัก จำเป็นต้องทดลองและวิจัยอย่างเงียบๆและปิดบังความลับไม่ให้โนวาคได้รับรู้ เพราะผลที่ตามมานั้นคือความตายของตัวละคร ทำให้ทุกการกระทำของตัวละครหากพลาดเพียงเล็กน้อยนั้นหมายถึงความตาย

ในเรื่องราวทั้งหมดของ สุริยะปราชญ์ -ทฤษฎีสีเลือด- คงไม่มีสิ่งไหนจะดียิ่งกว่า การพยายามพูดถึงปรัชญาของ ความตาย และความหมายของชีวิต กล่าวคือเหล่าตัวละครในเรื่อง นั้นทุกคนต่างมีศรัทธา ทั้งผู้คนที่เชื่อในแบบ ชาวออร์ทอดอกซ์ ผู้คนที่ไม่ต้องการให้มีชาวออร์ทอดอกซ์อยู่ หรือคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ทุกคนเหล่านี้ต่างขับเคลื่อนชีวิตด้วยสิ่งที่เรียกว่า ศรัทธา เช่นตัวละคร ราฟาล เด็กหนุ่มอัจฉริยะอายุ 12 ที่เชื่อใน ทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง เขาสามารถใช้ชีวิตแบบที่คนฉลาดก็สร้างรถใช้ได้ ด้วยการไม่ต้องไปยุ่งกับ ทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ที่จะทำให้ต้องมาเสี่ยงชีวิตได้ แต่เขาแค่เชื่อและศรัทธา เกินกว่าที่จะกลับไปมองโลกแบบเดิมได้ จึงขอเลือกที่จะกลืนเมล็ดฝิ่น ปลิดชีพตัวเองและฝากความหวังไว้กับคนที่เชื่อเช่นเดียวกับเขา

หรือ ออคซี่ นักประลองมากฝีมือผู้มีสายตาดีเยี่ยม แต่กลัวการมองท้องฟ้า และหวังว่าจะตัวเองจะได้ขึ้นตายและขึ้นสวรรค์ไวๆ แต่ก็เกิดคำถามในใจที่ว่าทำไมคนที่เขาฆ่ากลับไม่มีใครทำหน้าดีใจแม้แต่คนเดียว ต่างจากคนนอกรีตยอมสละชีวิต เพื่อทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ก่อนที่เรื่องราวจะพาให้เค้าได้เจอความหมายในการมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้และตายแบบมีความหวังได้ ถึงแม้สิ่งที่เรากำลังดูจะเป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นมา แต่จิตวิญญาณของมนุษย์ในการทำลายขอบเขตและยืนหยัดเพื่อศรัทธาและความหลงใหลต่อสิ่งๆหนึ่งนั้นเป็นความรู้สึกเป็นสากล ที่สามารถรับรู้ได้

สิ่งที่เรื่องต้องการจะสื่อ อีกสิ่งคือการหาความหมายของชีวิต และไม่ไปคาดหวังการชีวิตที่ยังไม่ถึงในอนาคต (ในที่นี้หมายถึงหลังความตาย) เหล่าตัวละครหลายๆ ตัวที่รับใช้ศาสนจักร ต่างอุทิศชีวิตเพื่อปกป้องศาสนา และรอคอยวันที่จะได้ขึ้นสวรรค์ แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงกลับไม่มีใครดีใจหรือพอใจสักคน นั้นเพราะว่าเขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตในปัจจุบันจริงๆ และเลือกจะมองโลกของเราเป็นเพียงแค่สถานที่ชดใช้บาปของมนุษย์ เช่นนั้นแล้วมนุษย์จึงไม่ควรจะมีความสุข ทั้งที่จริงๆแล้วสิ่งที่ทำให้เราแน่ใจได้ว่าเราจะมีความสุขได้ คือ ตอนนี้ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
แทนที่จะไปใฝ่หาความสุขในโลกหน้าที่ยังไม่ถึง ทำไมถึงไม่คิดที่จะหาความสุขในตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่กันนะ?

ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่ผ่านมามักจะมีทั้งผิดและถูก แต่ทุกความผิดในเรื่องนั้น ไม่มีคำว่าไร้ความหมาย เพราะหากเราไม่เคยผิดแล้วเราจะไปสู่คำตอบที่ถูกได้อย่างไร ทุกความผิดพลาดของมนุษย์ล้วนคือประวัติศาสตร์ ถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆ ที่สามารถนำวิทยาศาสตร์ มาผสมกับความศรัทธาของผู้คนได้อย่างลงตัว และยังสร้างแรงบันดาลให้แก่ชีวิตของใครหลายๆคนที่ผมแนะนำให้ได้ไปรับชมกัน
ขอบคุณภาพจาก MADHOUSE

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา