
"...โคลกล่าวว่า “Fan First” เป็นเรื่องที่เขาและผู้เล่นให้ความสำคัญอย่างมาก พร้อมยกเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นให้เห็นชัดเจนขึ้น เมื่อมีเด็กน้อยเดินเข้ามาขอลายเซ็นจากผู้เล่นคนหนึ่ง แต่ผู้เล่นคนนั้นกลับปฏิเสธทำให้เด็กคนนั้นถึงกับหน้าถอดสี แต่เมื่อผู้เล่นคนนั้นบอกว่า “ฉันอยากจะขอให้หนูเซ็นชื่อบนเสื้อฉันก่อนได้ไหม” ทำให้เด็กน้อยถึงกับตื่นเต้น ดีใจเป็นลิงโลด ไม่นึกว่าชื่อของเขาจะปรากฏบนเสื้อนักเบสบอลที่กำลังจะลงเล่นในสนาม และนี่คือแนวคิด Fan First ที่ถูกปลูกฝังกับทุกคนในทีม Savannah Banana..."
ผมได้มีโอกาสเข้าไปชมการแข่งขันเบสบอลอาชีพ ตามเสียงเรียกร้องของลูกชาย ที่ต้องการเข้าไปดูในสนามให้เห็นแบบเต็มตา เพื่อรับรู้ถึงบรรยากาศการแข่งขันกีฬาประจำชาติของชาวอเมริกัน ที่กำเนิดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เรียกว่าเบสบอลเป็นกีฬาที่เล่นง่าย กติกาไม่ซับซ้อน แบ่งออกเป็น 2 ทีม ทีมหนึ่งขว้างลูกบอลขนาดเท่ากำปั้นมือ ให้อีกทีมหนึ่งที่พยายามใช้ไม้ยาวเท่าศอกตีให้ถูกลูก ถ้าตีถูกลูกออกนอกสนามในเขตที่กำหนดไว้ถือว่าได้คะแนน แต่ถ้าตีอยู่ในสนาม และวิ่งไปสัมผัสฐานให้ครบ 4 ตำแหน่งที่กำหนดโดยที่ฝ่ายขว้างไม่สามารถขว้างลูกกลับมาได้ทันถือว่าได้คะแนนเช่นกัน แต่ละทีมจะสลับกันเป็นฝ่ายขว้างและฝ่ายรับทั้งหมด 9 ครั้ง ฝ่ายใดได้คะแนนมากกว่าถือเป็นผู้ชนะ อ่านแล้วดูยุ่งยาก แต่หากได้ดูจริงจะบอกว่าเป็นกีฬาพื้นบ้านแบบเด็กเล่นเกมงูกินหางง่าย ๆ
การแข่งขันเบสบอลอาชีพแข่งกันจริงจังมาก ฤดูกาลหนึ่งแต่ละทีมแข่งกันทั้งหมดถึง 162 นัด แข่งกันแทบไม่มีวันหยุด กว่าจะได้ทีมชนะเลิศต้องลุ้นเหนื่อยทั้งคนแข่งและคนดู ผมกับลูกจึงตื่นเต้นมากเมื่อได้เข้าไปภายในสนาม สนามทันสมัยมาก แบ่งออกเป็นโซน ๆ แต่ละโซนมีทุกอย่างพร้อมตั้งแต่ห้องอาหาร ไปจนถึงเคาน์เตอร์บริการเครื่องดื่ม แม้นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ชั้น 3 แต่สามารถเห็นได้ทั่วสนามพวกเราจดจ่อเฝ้ารอการแข่งขันที่จะเกิดขึ้น
เมื่อเสียงเพลงชาติสิ้นสุดลง ผู้เล่นแต่ละทีมวิ่งออกมายืดเส้น ยืดสาย แต่กว่าที่จะเริ่มขว้างเริ่มตี ก็ปาไปร่วม 5 นาที พอเริ่มขว้างลูกจริง ปรากฏว่าลูกที่ขว้างออกไปเร็วมากจนผมมองไม่ทัน จึงไม่แปลกใจว่า คนตีส่วนใหญ่จะตีไม่ถูก นาน ๆ ทีถึงจะตีถูก และส่วนใหญ่ลูกกลับลอยออกนอกเขตที่กำหนด พอทีมที่เป็นฝ่ายตีลูก ตีไม่ถูก 3 คน ก็จะสลับเป็นฝ่ายขว้างบ้าง ซึ่งผมนึกว่าจะเริ่มตีกันเลย ไม่ครับ นักกีฬาออกมาวอร์มกันอีก ซึ่งในช่วงนี้ ผมสังเกตเห็นผู้ชมพร้อมใจกันลุกเดินออกไปเข้าห้องอาหาร หรือไปนั่งดื่มกันที่เคาน์เตอร์ ปล่อยให้พวกเรานั่งอยู่ในสนามเพียงลำพัง พอดูไปได้สักพักจึงทำตัวเนียน แก้เขินลุกไปห้องอาหารบ้าง และค้นพบว่าภายในห้องอาหารเต็มไปด้วยผู้คนนั่งทาน นั่งคุยกันเต็มห้อง ไม่ได้ใส่ใจกับการแข่งขันเลยแม้แต่น้อย
เมื่อกลับออกมาได้อีกพักหนึ่ง ผมและลูกก็พยักหน้าแบบไม่ได้นัดแนะกัน ลุกออกจากสนามกลับที่พัก เรียกว่าได้สัมผัสและรับรู้แล้วว่า กีฬาเบสบอลอารมณ์ประมาณไหน และไม่แปลกใจว่า เบสบอลกำลังเผชิญกับความท้าทายเพราะคนรุ่นใหม่มองว่าเบสบอลเป็นกีฬาที่น่าเบื่อ ด้วยการแข่งขันที่ยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง เป็นกีฬาที่เล่นช้า กว่าจะตีทำแต้มได้ยากเย็นแสนเข็น ไม่ตอบโจทย์ผู้ชมที่อยากดูการแข่งขันแบบต่อเนื่อง ตื่นเต้นเร้าใจ และมีการทำคะแนนเยอะ ๆ ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้จำนวนคนดูในสนามลดลงมาเรื่อย และมีความท้าทายที่จะเรียกคนเข้ามาชมในสนาม
แต่สำหรับเจสซี่ โคล (Jesse Cole) กลับนำความท้าทายนี้มาเป็นโอกาส โคลใช้ชีวิตและหายใจเป็นเบสบอล พ่อพาเขาไปดูเบสบอลในสนามเมืองบอสตันตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาใฝ่ฝันอยากเป็นนักเบสบอลอาชีพได้เป็นนักกีฬาโรงเรียนและมหาวิทยาลัยจนมีแมวมองสนใจทาบทามให้ไปเล่นกับทีมอาชีพ แต่โคลเกิดบาดเจ็บเสียก่อน ไปไม่ถึงดวงดาว ต้องผันตัวเองมาเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมเบสบอลมหาวิทยาลัยแทน และเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาได้อยู่ในฐานะผู้สังเกตการณ์ไม่ใช่ผู้เล่น จนตระหนักได้เองว่า หากเป็นคนดู กีฬาเบสบอลเป็นกีฬาที่ดูน่าเบื่อจริง ๆ [1]
โคลตัดสินใจนำเงินออมทั้งหมดซื้อทีมเบสบอลของเมืองสะวันนา (Savannah) ในรัฐจอร์เจีย ในปี ค.ศ. 2001 พร้อมตั้งชื่อทีมว่า “Savannah Banana” ให้ฟังดูแปลกหูตั้งแต่ต้น ไม่เหมือนกับทีมอื่น ๆ ที่มักจะมีชื่อที่เข้มแข็งและดุดัน โคลนำแนวคิด “คนดูต้องมาก่อน” (Fan First) มาใช้ เริ่มต้นด้วยการ มีขบวนพาเหรดก่อนเกม การเต้นระหว่างเกมจากเชียร์ลีดเดอร์อาวุโสที่ชื่อว่า Banana Nanas โดยโคลลงทุนเป็นโฆษกในสนาม สวมชุดทักซิโด้สีเหลืองให้สอดรับกับสีของกล้วย ซึ่งเมื่อเปิดฤดูกาลแข่งขันปรากฏว่า ผู้ชมสนใจมาชมเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ยังคงออกจากสนามก่อนจบอยู่ดี ทำให้โคลได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงจริง ๆ คือ กติกาการแข่งขัน จนเป็นที่มาของการดัดแปลงกติกาการแข่งขันเบสบอลทั่วไปในปี ค.ศ. 2018 ตั้งแต่การร่นเวลาแข่งไม่ให้เกิน 2 ชั่วโมง การนับคะแนนแข่งขันที่ต้องลุ้นจนการขว้างลูกสุดท้าย (การแข่งเบสบอลโดยปกติอาจมีผลแพ้ชนะตั้งแต่ช่วงแรก) หากผู้ชมรับลูกที่ตีออกนอกสนามจะทำให้ทีมขว้างได้คะแนน ไปจนถึงการไม่อนุญาตให้ทีมตีเคาะลูก แต่ต้องตีแบบสุดแรงทุกครั้ง และที่สำคัญผู้เล่นและผู้ชมมีส่วนร่วมในการแข่งขันตลอดเกม ผู้เล่นออกมาเล่นกีตาร์ เชิญผู้ชมออกมาร้องรำทำเพลงในสนามโดยไม่ได้นัดหมายกันล่วงหน้า พร้อมขนานนามเกมการแข่งขันลักษณะนี้ว่า “Banana Ball”
การสร้างความบันเทิง ปรับเปลี่ยนกฎกติกา และให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วม ทำให้เกิดกระแสตอบรับอย่างรวดเร็ว ผู้ชมเข้ามาชมเต็มความจุสนามตั้งแต่ปี ค.ศ. 2022 และทำให้ทีมใหญ่ ๆ เชิญไปแข่งขันด้วย
ซึ่งปัจจุบันขายหมดทุกเกม มีผู้รอจองตั๋วอีกถึง 550,000 ใบ พร้อมมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียกว่า 4 ล้านคน มากกว่าทีมใหญ่ ๆ ถือเป็นการพลิกโฉมกีฬาเบสบอล ทำให้แฟนกีฬากลับมาคลั่งไคล้อีกครั้งหนึ่ง

โคลกล่าวว่า “Fan First” เป็นเรื่องที่เขาและผู้เล่นให้ความสำคัญอย่างมาก พร้อมยกเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นให้เห็นชัดเจนขึ้น เมื่อมีเด็กน้อยเดินเข้ามาขอลายเซ็นจากผู้เล่นคนหนึ่ง แต่ผู้เล่นคนนั้นกลับปฏิเสธทำให้เด็กคนนั้นถึงกับหน้าถอดสี แต่เมื่อผู้เล่นคนนั้นบอกว่า “ฉันอยากจะขอให้หนูเซ็นชื่อบนเสื้อฉันก่อนได้ไหม” ทำให้เด็กน้อยถึงกับตื่นเต้น ดีใจเป็นลิงโลด ไม่นึกว่าชื่อของเขาจะปรากฏบนเสื้อนักเบสบอลที่กำลังจะลงเล่นในสนาม และนี่คือแนวคิด Fan First ที่ถูกปลูกฝังกับทุกคนในทีม Savannah Banana
“อดทนในสิ่งที่ตัวเราเองต้องการ แต่อย่าอดทนกับสิ่งที่เราให้กับผู้อื่น” (Be patient in what you want for yourself, but be impatient about how much you give to others.) โคลทิ้งท้าย
ให้พวกเราได้ขบคิด [2]
แหล่งที่มา :
[1] Joe DeLessi, Baseball Will Never Be As Fun As Banana Ball, Intelligencer, Aug. 8, 2023
https://nymag.com/intelligencer/2023/08/baseball-will-never-be-as-fun-as-banana-ball.html
[2] Shep Hyken, Savannah Bananas Says Putting Customers First is a Game Changer
https://hyken.com/amazing-business-radio-show/the-savannah-bananas-is-changing-baseball-through-fan-focus-creativity-and-cx/

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา