"...(1) ความบกพร่องในการออกแบบรอยต่อที่เป็น Cold Joints ระหว่างกำแพงปล่องลิฟท์กับพื้น Post-Tensioned Slab (ซึ่งความจริงแล้ว การออกแบบปกติ คงไม่ได้ออกแบบรับ Reverse Punching Shear ที่เกิดจากกำแพงฉุดพื้นให้หล่นลงสู่พื้นด้วยกัน..."
หลังซากอาคาร สตง. ถูกรื้อถอนและขนย้ายออกหมดแล้ว สิ่งที่เหลือ ปรากฏเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์มากมาย—เศษคอนกรีตที่ป่นยุ่ยไม่เกาะอยู่กับเหล็ก พื้นคอนกรีตที่ขอบมีเหล็กเสียบถูกดึงหลุดจากกำแพงปล่องลิฟท์อย่างง่ายดาย เครนที่ถูกเหวี่ยงไกลจากตำแหน่งเดิม และตอม่อเสาหลายต้นที่ถูกเฉือนจนเห็นเหล็กเสริมบิดไปทิศทางเดียวกัน—ซึ่งอาจถูกใช้ในการตีความหาต้นเหตุของตึกถล่ม
แต่ก่อนที่วิศวกรผู้สังเกตการณ์จะด่วนสรุป เราควรเข้าใจหลักการพื้นฐานของนิติวิศวกรรมเกี่ยวกับ "ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล" (Causality)
ในการวิเคราะห์อาคารถล่มที่กลายเป็นโศกนาฏกรรม ถ้าเป้าหมายคือการค้นหา "สาเหตุ" ของการเกิดกลไกการถล่ม เราจำต้องตระหนักว่า หลักฐานที่พบในซากปรักหักพัง อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท:
1. ต้นเหตุ (Cause): คือ หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ซึ่งทำให้เกิดการวิบัติ วิธีพิสูจน์ว่าเหตุการณ์นั้นเป็นต้นเหตุจริง คือ การตรวจสอบว่าเหตุการณ์ที่สันนิษฐานนั้น หากเกิดขึ้นจริงแล้ว สามารถมีเส้นทางการวิบัติ (failure path) ที่ก่อให้เกิดการถล่มแบบแพนเค้กได้อย่างไร และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ทั้ง 3 ข้อหรือไม่ (ภาพที่ 2)
2. ผลพวง (Consequence): ได้แก่ ซากปรักหักพังทั้งหลายที่ถูกทำลายจากการถล่ม ประเด็นสำคัญที่เป็นที่ถกเถียงเสมอคือ การด้อยคุณสมบัติของวัสดุ เช่น เหล็กเส้นและคอนกรีต ในซากปรักหักพัง จะใช้บ่งชี้ว่าคุณสมบัติวัสดุด้อยมาตั้งแต่ก่อนถล่มได้หรือไม่
3. เหตุการณ์ร่วม (Collateral): สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นต้นเหตุ เช่น การเกิดวิบัติเฉพาะที่ (Local Failure) ที่เสา 4 ต้นบริเวณชั้น 28-29 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนจริง แต่ไม่มีเส้นทางการวิบัติที่สามารถทำให้เกิดการถล่มแบบแพนเค้กได้ จึงถือเป็นเหตุการณ์ร่วมที่เกิดจากแผ่นดิไหวลูกเดียวกัน
สำหรับการถล่มของอาคาร สตง. ปัจจุบันเริ่มมีอีกหลายทฤษฎี เช่น
(1) ความบกพร่องในการออกแบบรอยต่อที่เป็น Cold Joints ระหว่างกำแพงปล่องลิฟท์กับพื้น Post-Tensioned Slab (ซึ่งความจริงแล้ว การออกแบบปกติ คงไม่ได้ออกแบบรับ Reverse Punching Shear ที่เกิดจากกำแพงฉุดพื้นให้หล่นลงสู่พื้นด้วยกัน - ภาพที่ 6)
(2) มีการกล่าวอ้างโดยไม่ได้แสดงหลักฐานว่า มีการแอบเติมน้ำระหว่างการเทคอนกรีตผสมเสร็จ ซึ่งอาจทำให้กำลังอัดของคอนกรีตมีค่าต่ำกว่าที่ออกแบบไว้
ไม่ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นสาเหตุหรือเป็นเพียงเหตุการณ์ร่วม แต่ก็สะท้อนถึงจุดอ่อนของขบวนการก่อสร้าง ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับวิชาชีพวิศวกรรมต่อไป
สุดท้าย ขอฝากข้อคิดแก่คณะกรรมการสอบสวนว่า การค้นหาสาเหตุการวิบัติแบบแพนเค้ก ต้องสามารถอธิบายได้ว่ามีกลไกเกิดขึ้นอย่างไร และมีเส้นทางวิบัติ (failure path) ที่สอดคล้องกับหลักฐานเชิงประจักษ์ 3 ประการนี้ :
1. สามารถทำให้เกิดการถล่มทั้งหมด—ไม่มีส่วนใดของอาคารหลงเหลือ
2. สามารถถล่มโดยไม่มีการเอียงอย่างมีนัยสำคัญ
3. สามารถถล่มโดยใช้เวลาเพียง 8 วินาที
หวังว่าหลักคิดเชิงนิติวิศวกรรมศาสตร์เหล่านี้ จะช่วยให้คณะกรรมการยึดถือเพื่อแยกแยะระหว่างเหตุแท้ ผลลัพธ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขนานกันได้อย่างถูกต้อง
ศ. ดร. วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย
ราขบัณฑิต, วุฒิวิศวกร
ที่มา : เฟซบุ๊ก Worsak KN